First Time In Cambodia with IYF world camp 2010
สมัยที่ภาพถ่ายจากมือถือความละเอียดระดับ VGA ภาพถ่ายอาจดูเบลอๆ
แต่ภาพในความทรงจำนั้นชัดเจน
ย้อนไปเมื่อเกือบ5ปีก่อน ต้นปี2010 ในวันที่ความรักไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง
ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจ
ตอนนั้นมีเพียงแต่ความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ หมดกำลังใจ ทำไมฉันช่างไร้ค่าอย่างนี้ เป็นช่วงชีวิตที่
dark
มาก ฉันร้องไห้ง่าย ดูหนังก็ร้อง ดูละครก็ร้อง ฟังเพลงก็ร้อง นั่งรถตู้ก็ร้อง
นั่งมองฝนก็ร้อง แม้แต่ดูการ์ตูนก็ยังร้อง เหมือนมีน้ำตารีฟิลล์ไม่อั้น
อิ่มละ299บาทยังไงอย่างงั้น ความรู้สึกในวันนั้น
พอมองย้อนกลับไปในวันนี้มันก็ดูน่าขำ เราจมกองอะไรอยู่นะ?? แต่นั่นมันก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง
วันหนึ่งระหว่างที่ชีวิตกำลังจมกองทุกข์คล้ายแมลงวันที่พลัดตกจมกองอุนจิแล้วขึ้นไม่ได้ ฉันนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวที่โรงอาหารหอใน
ปกติแล้วจะมีคริสตศาสนิกชนเข้ามาเผยแพร่ศาสนาโดยการบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซู
และคนที่เชื่อในพระเยซูให้ฉันฟังบ่อยๆที่โรงอาหารแห่งนี้ วันนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง
แต่พวกเขามาในฐานะอาสาสมัครของมูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ(International
Youth Fellowship; IYF) พี่คนหนึ่งเข้ามาคุยกับฉัน
เขาเล่าให้ฟังว่าเขาไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศแห่งหนึ่งแถบแอฟริกา
เขาเล่าถึงการทำงานของอาสาสมัคร ที่คอยไปดูแลจิตใจ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
ผู้ที่ขาดกำลังใจ และคนที่สิ้นหวังในประเทศนั้นๆ
และเขาได้เล่าถึง World camp ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ประเทศไทยตอนกลางปีนั้น
ใช่แล้ว ฉันได้รับคำเชิญชวนให้ไปเข้าร่วม World camp ค่ายที่จะมีเยาวชนจากนานาประเทศมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
แลกเปลี่ยนกันระหว่างอาสาสมัครที่เคยไปลงพื้นที่มาแล้ว และคนที่อยากจะไปเป็นอาสาสมัคร
ในค่ายจะมีกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทุกคน
และสร้างจิตใจที่เข้มแข็ง
เพื่อไปส่งต่อกำลังใจนี้ให้กับผู้คนอีกนับสิบนับร้อยที่รอคอยโอกาส
นี่อาจจะเป็นโอกาสของฉัน ที่จะพิสูจน์หาคุณค่าในตัวเองที่ฉันหลงลืมไป
อาจจะเป็นการชาร์ตแบต เพิ่มพลังใจให้ชีวิต ฉันตัดสินใจสมัครเข้าร่วม IYF
World camp 2010 เพื่อออกตามหาคุณค่าของฉัน
เดิมทีWorld camp ครั้งนั้นจะจัดขึ้นที่พัทยาโดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
แต่ในปีนั้นเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง World camp ที่ฉันคิดว่าตัวเองจะได้ไปพัทยา
ก็เป็นอันต้องย้ายประเทศเจ้าภาพ ไปเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆของเรานี่เอง ใช่แล้ว
กัมพูชา
ทีมงานติดต่อกลับมาหาฉันว่า ถ้าหากต้องเปลี่ยนสถานที่จัด ไปกัมพูชา
จะยังไปอยู่มั้ย ณ ตอนนั้นความตั้งใจอันแน่วแน่ของฉันว่าต้องไปสัมผัสค่ายครั้งนี้ให้ได้
ทำให้ฉันตอบตกลงที่จะไปโดยไม่ลังเล ฉันจัดการไปต่ออายุพาสปอร์ตที่ไม่ได้ใช้การมานาน
เตรียมตัวและเตรียมใจ นี่จะเป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก
และไปคนเดียวแบบที่ไม่รู้จักเพื่อนร่วมค่ายคนใดมาก่อน แต่ฉันรู้ว่า
ฉันจะไม่โดดเดี่ยวแน่นอน ฉันชอบจังเลย เวลาไปหาเพื่อนใหม่เอาดาบหน้าเนี่ย
และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง ฉันมาที่จุดนัดหมาย
มูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ(ประเทศไทย) เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรข่าวประเสริฐ
ตั้งอยู่ย่านลาดพร้าว ฉันมาถึงก็เจอคณะเด็กไทยที่สมัครมาค่ายนี้เหมือนๆกันกับฉัน
บางคนก็มากับเพื่อน บางคนก็มากับพี่น้อง บางคนก็มาคนเดียวเหมือนฉัน นอกจากนี้
ก็ยังมีอาสาสมัครที่มาจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา
ที่มาเป็นอาสาสมัครอยู่ในประเทศไทย ฉันได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งจากม.ขอนแก่น
พี่ม.เชียงใหม่ พี่ธรรมศาสตร์ พี่วัยทำงาน พี่ชาวจีนชื่อมีมี่
เพื่อนชาวจีนชื่อเหวินเซี๊ย หลังจากนั้นเราก็รวมเป็นแก๊งเดียวกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน
ฉันได้เพื่อนใหม่แล้ว ^^
พวกเราทั้งหมดประมาณ50ชีวิตเดินทางสู่ประเทศกัมพูชาด้วยรถยนต์
แรกเลยคือออกจากมูลนิธิด้วยรถตู้ จนมาถึงชายแดนอำเภออรัญประเทศจังหวัดสระแก้ว
ซึ่งติดกับปอยเปตของกัมพูชา
ฉันมาถึงเป็นคันแรกเราจึงต้องเดินรอเวลาที่รถทุกคันจะมาถึงที่นี่ และแน่นอน
เราเดินเล่นรอที่ตลาดโรงเกลือ
โรงเกลือมีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ก๊อปแบรนด์เนมเต็มไปหมด
บางอย่างก็เป็นของแท้ที่ผลิตในกัมพูชาแต่ตกสเป็ค ของดูละลานตาไปหมด
นี่คือการมาเยือนโรงเกลือครั้งแรกของฉัน (ฉันไม่เคยมาเลย
แต่แม่เคยมากับเพื่อนครูที่โรงเรียน
หลังจากที่แม่ของฉันมาเยือนโรงเกลือเมื่อปีก่อนแล้วได้ชุดฮันบกกลับบ้านไป3ชุด
ฉันก็อยากมาเห็นโรงเกลือเองกับตา ใช่ค่ะ บ้านฉันมีชุดฮันบก ชุดประจำชาติเกาหลี
เอาไว้แต่งแฟนซีอยู่บ้านเล่นๆ!!??)
เมื่อรถทุกคันพร้อมกันที่ด่านชายแดน เราทุกคนก็ถือพาสปอร์ตเตรียมไว้
แล้วเดินผ่านด่านเข้าไปกรอกเอกสาร ก่อนถึงด่านนั้น มีเด็กขอทานยืนอยู่มากมาย
คอยเข้ามาเกาะแขนเกาะขาผู้มาเยือน แล้วขอเงิน ขอขนมไม่ยอมปล่อย เพื่อนบางคนโดนดึงถุงขนมไปจากมือเลยก็มี
เมื่อผ่านด่านเข้ามาได้ เราก็นั่งรถบัสเพื่อเข้าสู่เมืองหลวง พนมเปญ
เราผ่านคาสิโนขนาดใหญ่หรูหรา
ทำให้คิดถึงภาพเด็กขอทานที่เจอเมื่อสักครู่...ที่นี่คงมีความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงจริงๆ
รถบัสของตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทยออกจากปอยเปตตอนประมาณบ่ายสามโมง
ฉันมองวิวข้างทางที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเมืองเล็กๆเข้าสู่ชนบท
ที่สองข้างทางไม่มีอะไรเลย เป็นเหมือนทุ่งนาที่ยังไม่มีต้นข้าว
หรือแม้แต่ต้นไม้ชายนาสักต้นเดียว
ฉันหลับๆตื่นๆตลอดทางจนกระทั่งไฟบนรถสว่างขึ้นมาตอน4ทุ่ม รถหยุด
ผู้นำทีมบอกให้เราทุกคนลงไปพักเข้าห้องน้ำ เพราะว่าต้องพักรถ
ฉันเดินลงมาจากรถแบบมึนๆเพื่อพบว่าตัวเองอยู่ที่จุดพักรถแห่งนึงที่เป็นลานดินโล่งๆ
ที่เหมือนเอาดินมาถมที่นาริมถนนให้กลายเป็นจุดพักรถ มีห้องน้ำสังกะสีอยู่ริมด้านหนึ่งของลานอยู่ประมาณ5-6ห้อง
ฉันรีบเดินตามคนอื่นๆไปห้องน้ำก่อนเพราะที่แห่งนั้นมันมืดมาก มีแต่ไฟจากหลอดไฟดวงสีส้มแบบเก่าที่เป็นทรงกลมๆใสปิ๊งที่ติดอยู่หน้าห้องน้ำ
พอได้เข้าส้วมและกำลังปล่อยฉี่ ก็ได้ยินเสียงตุ๊กแก แอ่ะๆๆๆๆ แอ๊บแอ่ แอ๊บแอ่
เค้าบอกว่าถ้าตุ๊กแกร้องครบ9แอ๊บแอ่ ใครได้ยินจะโชคดี ได้ลาภนะ
ฉันก็ไม่ได้นับหรอกนะว่าตุ๊กแกตัวนั้นร้องครบ9แอ๊บแอ่รึเปล่า
เพราะว่าฉันอยากรีบฉี่ให้เสร็จๆ ห้องน้ำนี้มันไม่ค่อยน่าพิศมัยเท่าไหร่นัก
พอฉันฉี่เสร็จฉันกับแก๊งที่เพิ่งรู้จักกันก็ชวนกันเดินไปที่ร้านค้าที่เป็นเพิงเล็กๆ
เสาทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ร้านนี้ทั้งร้านก็มีไฟสีส้มหลอดเดียวเช่นกัน
ฉันมองไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ว่าเค้าขายอะไรบ้าง
เท่าที่สายตาสั้นๆของฉันจะเห็นในที่ไม่ค่อยสว่างได้ ก็มี
ขนมก๊อบแก๊บถุงเล็กๆที่อยู่ในถุงพลาสติกใสใบใหญ่ซึ่งห้อยลงมาจากคาน อื้ม
หน้าตาคุ้นๆเหมือนขนมจากไทย มีถั่วกระจกห่อพลาสติกอยู่ในกระจาดใบหนึ่ง
และกระด้งที่วางอยู่ข้างๆกันก็มีเนื้อ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้ออะไร
สุกแล้วหรือยังไม่สุก เป็นส่วนไหนของตัวอะไร
แต่เท่าที่แสงอันน้อยนิดส่องกระทบมันทำให้ฉันเห็นมันเป็นสีแดงๆ ดูแล้วน่ากลัวชะมัด
ฉันไม่ซื้ออะไรซักอย่างขึ้นไปบนรถ ในขณะที่ก็มีบางคนที่อยากลองของต่างถิ่นดู
ฉันเดินออกมาห่างจากมินิมาร์ทมุงจากนั้น ยืนอยู่กับเพื่อนคนไทย มองไปรอบๆตัว
เป็นทุ่งโล่งๆ ที่ไม่มีอะไรกีดขวางสายตาได้เลย เราพอมองเห็นได้ก็เพราะแสงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าขณะนั้น
ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดาวที่นี่เยอะมากๆและเห็นดาวชัดมากๆ
คงเป็นเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด และไม่มีแสงจากเมืองรบกวนแสงของดาวเลย
เคยได้ยินคำว่าดาวล้านดวงไหมคะ ที่นี่มันยิ่งกว่าล้านดวงอีกค่ะ
มันเป็นดาวล้านล้านดวงไง
ฉันและเพื่อนๆทั้งหมดกลับขึ้นมาบนรถ
เราพร้อมออกเดินทางต่อแล้ว ฉันเริ่มหลับอีกครั้ง คราวนี้หลับจริงๆจังๆ
ไม่ตื่นมาเลย จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนบอกว่า “ถึงแล้ว”
เราทุกคนมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญตอนตี2
บอกเลยว่าตอนนั้นฉันแทบลืมตาไม่ขึ้น ฉันเดินไปลงชื่อเข้าห้องพัก
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายของคณะเยาวชนไทยของฉัน ฉันจับกลุ่มกับเพื่อนห้องละ 5 คน
เข้าห้องพักห้องหนึ่ง เราจะพักที่นี่ประมาณ 3 คืน
ห้องพักที่นี่ดูดีทีเดียว ได้ยินเค้าพูดกันว่านี่เป็นโรงแรมระดับ 3
ดาวของพนมเปญ
แต่สภาพเมื่อมองจากด้านนอกเข้ามาเหมือนอาคารพาณิชย์ตึกแถวในไทย
แต่ข้างในห้องพักนั้นดูดีระดับ3ดาวเลยนะ ที่นี่ไม่มี
free wifi ในห้อง แต่ถึงจะมีก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับมือถือของฉันในตอนนั้น แต่ที่นี่มีคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เน็ตไว้ให้ใช้ด้านล่าง
ฉันคิดว่าจะติดต่อกลับบ้านทางเฟสบุ๊คคืนพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
คืนนี้ขอเปลี่ยนชุดพักผ่อนนอนต่อก่อน อย่าให้พูดถึงเรื่องอาบน้ำ ตี2แล้ว
เค้าไม่อาบกันหรอก อิอิ
เช้าวันแรกที่กัมพูชา
เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าสุดแปลกใหม่สำหรับชั้น มันคือขนมปังฝรั่งเศสไส้หมูหยอง คณะเยาวชนจากประเทศไทยทุกคนได้รับขนมปังฝรั่งเศสคนละ1ชิ้น
พร้อมกับน้ำ1ขวด ฉันนึกสงสัยว่าถ้ากัดเข้าไปแล้วฟันจะหักหรือเปล่า
เพราะจากที่สัมผัสด้วยมือ มันแข็งมากจริงๆ แข็งแบบที่ว่าเคาะโต๊ะดังโป๊กๆๆ อาหารเช้าแบบนี้มันน่าจะจุ่มซุปให้นุ่มก่อนแล้วค่อยกินรึเปล่านะ??
แต่ก็ไม่เห็นมีซุปเลย มีแต่น้ำเปล่า1ขวด หรือว่าที่เค้าให้มาคู่กับน้ำเปล่าเพราะเค้าจะให้จุ่มขนมปังกับน้ำเปล่าขวดนั้นให้นิ่มก่อน??
คงไม่ใช่
ฉันเลยบรรจงกัดขนมปังก้อนนั้นทีละนิด
ให้น้ำลายซึมซับเข้าไปในเนื้อขนมปังก่อน แล้วค่อยกัด อื้มม กินไปกินมาก็อร่อยดีนะ
มื้อเช้าจบไป
แล้วเราก็เริ่มกิจกรรม เรามาทำพิธีเปิดค่าย
IYF world camp 2010 ที่มหาวิทยาลัยนานาชาติพนมเปญ มหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่บนถนนอะไรฉันเองก็ไม่ทราบ ตัวอาคารเป็นตึกยาวๆ ซึ่งมีไม่กี่ชั้น
เหมือนอาคารโรงเรียนประถม หอประชุมของเขาเป็นอาคาร ที่เปิดโล่ง
มีเก้าอี้พลาสติกตั้งเป็นแถวเรียงรายกันไว้เพื่อต้อนรับผู้มาเยือน
พิธีเปิดมีการแสดงจากประเทศเกาหลี
ที่เป็นเกาหลีเพราะว่ามูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาตินี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่ประเทศเกาหลีนั่นเอง
การแสดงจบลง กิจกรรมต่อจากนั้นก็จะเป็นการกล่าวถึงมูลนิธิที่อยู่ในประเทศต่างๆ
มื้อกลางวันวันนี้
เป็นครั้งแรกที่เราจะได้ลิ้มรสอาหารกัมพูชาบนโต๊ะจีน ใช่ค่ะ บนโต๊ะจีนกลมๆนั่นแหละ
อาหารกัมพูชามีอะไรบ้าง ที่ฉันพอดูออกก็พอจะมี ปลาที่คล้ายปลาส้ม
แต่กลิ่นจะออกตุๆนิดนึง น้ำพริกอะไรซักอย่าง แกงจืดฟักใส่ฟองเต้าหู้ที่มาในหม้อไฟ
แกงเผ็ดที่ไม่ค่อยแซ่บเท่าบ้านเรา
ผัดผักรวมกับเนื้อบางอย่างที่ดูคล้ายเนื้อหมูปลอม ฉันกินทุกอย่างด้วยความอยากลองและความรู้สึกหิว
เลยกินเข้าไปเยอะ แต่ถามว่าอร่อยมั้ย ก็อร่อยเป็นบางอย่างนะคะ
แต่ฉันก็คิดถึงอาหารไทยอยู่ดี
พอกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว
ก็ได้เวลาเดินย่อยค่ะ ฉันกับเพื่อนๆเดินออกไปริมรั้วมหาวิทยาลัย ข้างทางมีรถที่คล้ายรถตุ๊กๆของไทย
แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว มีรถซาเล้งขายอาหาร คล้ายๆบ้านเราเลย รถซาเล้งขายน้ำชง
ลูกชิ้นทอด ไอติม จอดเรียงรายกันอยู่ริมถนน
ฉันเองไม่ได้ซื้ออะไรกินเพราะอิ่มจากมื้อกลางวันที่ซัดไปเมื่อซักครู่นี้แล้ว
เลยเดินตามเพื่อนๆมาดูบรรยากาศซะมากกว่า ณ ที่ตรงนั้น
เรามองเห็นอนุสาวรีย์อะไรซักอย่าง มีรูปร่างเป็นเจดีย์ ศิลปะแบบเขมร ตั้งตระหง่านอยู่กลางวงเวียน
เห็นแล้วคิดถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบ้านเรา จริงๆแล้วที่นี่ก็เปรียบเสมือนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั่นแหละค่ะ
ต่างกันตรงที่
รอบๆอนุสาวรีย์แห่งนี้ไม่มีแผงขายเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า
เหมือนบ้านเรา อิอิ ไม่งั้นฉันคงได้ช๊อปกระจาย
วันต่อมาเราเปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรม ไปจัดกันที่ นากาเวิลด์ เห็นแล้วก็เหมือนเป็นศูนย์การประชุมแห่งชาติ
ที่ด้านล่างเป็นคาสิโนสุดหรูหรา ไฮโซโอ้โหว้าวมากๆ วันนี้เราออกจากโรงแรมเพื่อมาหาอาหารเช้ากินกันแถวนี้ค่ะ
ที่ด้านหน้านากาเวิลด์ฉันได้เจอกับรถซาเล้งขายอาหารชนิดหนึ่งที่ดูเหมือนผัดไทย
แต่มันไม่ใช่ผัดไทยค่ะ มันคือเส้นมาม่าผัดกับไข่ ใส่ถั่วงอก ต้นหอม
แล้วเวลาะกินก็ต้องราดด้วยซอสพริก เห็นคนอื่นเค้าซื้อกัน ฉันก็จัดไปสิคะ1กล่อง ด้วยความหิวโหยหรืออร่อยก็ไม่ทราบได้
แต่ผัดมาม่ากล่องนั้นฉันก็ฟาดซะเรียบเลยล่ะค่ะ
![]() |
เจินเจิน พี่มีมี่ เวิ๋นเซี๋ย |
แล้วกิจกรรมที่นี่ก็เริ่มขึ้น ช่วงเช้าเราจะได้ฟังบรรยายกันก่อน
จากนั้นเขาจะให้เราทุกคนลงเรียนอะไรก็ได้ค่ะ มีทั้งคลาสเต้นคล้ายๆแฟลชม๊อบ
ฉันไม่รู้ว่าเค้าเรียกการเต้นแบบนี้ว่าอะไร เราจะได้จับคู่เต้นกับเพื่อนๆต่างชาติ
เต้นตามที่คุณครูสอนทีละท่อนของเพลง ทุกคนตอนแรกเริ่มก็เต้นผิดเต้นถูกกันแบบงงๆ
หมุนกันไปคนละทิศคนละทาง นอกจากจะมีเรียนเต้นแล้ว เราก็ยังได้เข้าคลาสเรียนทำหน้ากากเกาหลี
เรียนถ่ายรูป และอื่นๆอีกมากมาย ณ
ตอนนี้เองที่เราจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนต่างชาติค่ะ ฉันได้คุยกับเด็กกัมพูชาหลายคน
โดยสื่อสารกันด้วยภาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษของเขาสำเนียงดีมาก พูดชัดมาก แต่บางคนก็จะเป็นสำเนียงแบบที่เราฟังไม่ออกจนต้องควักกระดาษขึ้นมาให้เค้าเขียน
ถึงจะรู้ว่า “อ๋ออ เค้าThank youเรานี่เอง”
เพื่อนกัมพูชาบางคนพูดไทยได้ด้วยค่ะ พูดชัดแบบที่ว่า เอ๊ะ คนไทยรึเปล่า?? แต่เปล่าค่ะ
เค้าเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆเขามาโตที่จังหวัดศรีสะเกษ ชื่อของเขาก็คือ “หมา”
ใช่แล้ว เค้าชื่อเล่นว่าหมา ซึ่งเค้าก็คงจะรู้สึกเหมือนเด็กบ้านเราที่ชื่อ หมู แมว
นก ปลา อะไรแบบนั้น แต่คนไทยไม่นิยมชื่อหมา พอฟังดูแล้วก็อาจจะแปลกหูสำหรับเราไปซักหน่อย
ฉันแลกemail ไว้เล่น MSN กับเพื่อนใหม่หลายคน (สมัยนั้นMSNยังฮิตอยู่นะ)
กิจกรรมต่างๆก็ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนชาวเกาหลี จีน อเมริกา และกัมพูชามากมาย และสนิทกับเพื่อนคนจีนที่มากับคณะเยาวชนไทยด้วยกันชื่อพี่มีมีและเวิ๋นเซี๋ยมากขึ้นไปอีก
เรามักจะเดินด้วยกัน3คนจนใครๆก็คิดว่า
เราเป็น3สาวชาวจีนด้วยกันทั้งหมด หารู้ไม่ว่าอาหมวยอย่างฉันคนนี้เป็นคนไทยนะคะ
มีคนไทยบางคนที่ไม่ค่อยได้คุยกันมักเข้าใจผิดว่าฉันไม่ใช่คนไทย
และพูดภาษาอังกฤษทักทายฉันบ่อยๆ 555 สงสัยฉันจะหน้าตากลมกลืนกับเด็กจีนมากจริงๆ
ที่ค่ายนี้ ทุกๆวันฉันจะได้คุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ฉันได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของชาวค่ายที่เคยเป็นอาสาสมัครที่ต่างประเทศมาก่อน เขาแบ่งปันมุมมองใหม่ๆให้กับกบน้อยในกะลาอย่างฉัน การพูดคุยกันอย่างเปิดใจมันทำให้เราได้เข้าถึงจิตใจของคนอื่นๆได้อย่างมากเลยทีเดียว ขอแค่เรามีความจริงใจที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้กับผู้คน มันทำให้ฉันมีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรให้กับคนอื่นๆมากขึ้น และฉันก็ได้รู้ว่า"การให้"นั่นเอง ที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า อย่างที่เค้าว่ากันว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งได้ความสุขที่มาจากภายในจิตใจยังไงล่ะ ฉันได้ถูกจุดประกายให้มองเห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว
วันเกือบๆสุดท้ายในค่าย กิจกรรมเสร็จเร็ว เราเลยได้ไปเที่ยวดูเมืองกัมพูชา ฉันได้ไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนึงของกัมพูชา ก่อนเดินถึงห้างต้องข้ามถนนที่รถยนต์จอแจมาก “ประหยัดลานบก” เป็นคำที่ฉันได้ยินพี่คนไทยด้วยกันพูดเวลาคนเดินข้ามถนน แปลว่าให้ระวังรถยนต์ด้วย ห้างที่ฉันไปเดินเหมือนมาบุญครองบ้านเราเลยค่ะ โอ้โห ใหญ่โตโอฬาร ในนั้นมีเสื้อยืด เสื้อผ้า เครื่องประดับฟู่ฟ่าดังเช่นสร้อยเพชรคล้ายสร้อยลิเก มีไอติมซอฟเซิร์ฟคล้ายๆแดรี่ควีนขายด้วยนะ แต่รสชาติก็หวานเจี๊ยบบบอย่างเดียวเลย ฉันได้เจอร้าน The Pizza Company ด้วยก็เลยถ่ายรูปคู่กับป้ายพิซซ่าที่เป็นภาษาเขมรซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้เข้าไปชิมว่ารสชาติเหมือนที่ไทยรึเปล่า ข้างทางด้านนอกห้างมีร้านขายบะหมีเกี๊ยวชื่อดัง ชายสี่หมี่เกี๊ยวนั่นเองค่ะ โอ้โห โกอินเตอร์มาไกลถึงกัมพูชาเลยทีเดียวแต่ราคานี่สูงพอตัวเลยล่ะ เดินออกมาจากห้างฉันก็ได้เข้าร้านมินิมาร์ทที่กัมพูชา ที่นี่มีแต่ขนมและอาหารนำเข้าจากไทยมาขายค่ะ ฉันเจอนมโฟโมสต์ ขนมก๊อบแก๊บหลายยี่ห้อของไทย ชาเขียวโออิชิ และอีกหลายๆอย่าง แล้วก็ราคาแพงกว่าที่ไทยด้วย อาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่ต้องนำเข้ามาเพราะที่กัมพูชาคงมีอุตสาหกรรมอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการเท่าไหร่นัก
ข้างทางแถวในเมืองเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์คล้ายๆที่ไทย
ฉันเห็นร้านขายเสื้อเชิ้ตผู้ชายร้านนึงจะมีนายแบบเขมรถ่ายแบบลงแผ่นไวนิลใหญ่ยักษ์แขวนอยู่หน้าร้าน
โอ้โห นี่เองนายแบบเขมร นายแบบเขมรหล่อค่ะ หล่อแบบพระเอกหนังไทยสมัยมิตร ชัยบัญชา
สรพงษ์ ชาตรี ประมาณนั้นเลย ผิวจะเข้มๆ กล้ามล่ำบึ้ก หน้าตาคมเข้มเน้นกรามหน่อยๆ
อิอิ
พอเริ่มค่ำ ฉันก็ได้มาเที่ยวชมแถวพระราชวังแห่งกัมพูชาค่ะ
ตั้งแต่ฉันมากัมพูชามีอะไรหลายอย่างที่ฉันเห็นแล้วนึกถึงเมืองไทยมากๆ อีก1อย่างนั้นก็คือวังหลวงแห่งนี้ค่ะ
ด้านหน้าวังเป็นแม่น้ำกว้างสายหนึ่งเห็นแล้วนึกถึงแม่น้ำเจ้าพระยา
มีร้านค้ารถเข็นเรียงรายอยู่ริมถนนเลียบแม่น้ำ ข้ามถนนมาจะเจอสนามหญ้ากว้างมากๆ
ให้นึกถึงสนามหลวงบ้านเราค่ะ แต่สนามบ้านเค้าไม่กว้างเท่าสนามหลวง และยังเป็นรูปสีเหลี่ยมจัตุรัสด้วย
มีคนเดินขายมะม่วงเฉาะใส่ถุง หรือไม่ก็โรตีสายไหม
มีถนนสายหนึ่งกั้นระหว่างสนามแห่งนี้กับรั้ววัง ที่รั้ววังมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม
สีหมุนี รั้ววังสีขาวเป็นกำแพงสูง ด้านในมีต้นไม้สูงที่โผล่พ้นกำแพงขึ้นมา นอกนั้นก็มองไม่เห็นอะไรด้านในเพราะตอนนั้นก็ค่ำแล้ว
แต่รู้สึกได้ว่ายิ่งใหญ่ เห็นแล้วก็นึกถึงพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วของไทย
ฉันไม่ค่อยได้ถ่ายรูปที่นี่มากนักเพราะกล้องถ่ายรูประดับ VGAของฉันถ่ายรูปกลางคืนก็เห็นแต่ความมืดดำ
เลยเก็บไว้ในความทรงจำดีกว่า
เราเดินจากพระราชวังออกมาแล้วไปหาอะไรกิน เราแวะข้างทางเจอร้านลูกชิ้น
หมูยอ ไส้กรอก ไส้อั่ว โอ้โห น่าลิ้มลอง แต่มีเมนูหนึ่งค่ะที่เจ้าของร้านบอกว่า
เป็นเมนูแนะนำต้องลิ้มลองซักครั้ง นั่นก็คือ แถ่น แทน แท้นนน “ไข่ข้าว” นั่นเอง
อู้ยยยยยย ฉันนี่อึ้งไปเลย ไข่ข้าว คือไข่ที่กำลังจะฟักตัวเป็นลูกไก่
หรือลูกเจี๊ยบที่เป็นตัวอ่อนอยู่ข้างใน
แต่ยังไม่ทันที่เจ้าลูกเจี๊ยบน้อยๆจะได้ลืมตาขึ้นมากระต๊ากดูโลกก็ต้องถูกจับมาทำเป็นอาหารเลิศรสซะแล้วค่ะ
อั้ยย่ะ!! ฉันก็เคยเห็นมาบ้างที่เมืองไทยแต่ก็ไม่เคยคิดจะกิน
แต่เมื่อมาถึงที่นี่กลับเป็นเมนูแนะนำซะอย่างนั้น
พี่ๆเพื่อนๆขาวแก๊งของฉันก็เลยจัดมา 1 ฟองค่ะ มากินด้วยกัน ฉันก็จัดไปอย่าให้เสีย
แค่ลองสะกิดมากินแค่ปลายซ้อม ไม่กล้ากินมันเข้าไปทั้งตัวหรอกนะคะ บรึ๊ยย
วันสุดท้ายของค่ายIYF World Camp 2010 จบค่ายด้วยพิธีปิดที่มีระบำแบบเขมรด้วยล่ะ
ดูแล้วขนลุกดี ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย และบรรยากาศก็อบอุ่นไปด้วยการถ่ายรูปร่วมกันกับเพื่อนๆ
ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดกิจกรรม
แล้วเราก็ออกเดินทาง ออกจากพนมเปญเพื่อกลับไทยค่ะ ต่อไปนี้เป็นเรื่องชวนขนลุกเบาๆ
คืนนั้นเราเดินทางออกมานอนนอกกรุงพนมเปญกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งนอกเมืองเพื่อเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
เราเข้าที่พักกันตอนค่ำ ที่พักแห่งนั้นเป็นโรงแรมเก่าๆ ทางเข้าเล็กและมืด
บรรยากาศเย็นยะยือกปนกลิ่นอับเล็กน้อย โรงแรมตกแต่งด้วยไม้แกะสลักรูปนางรำเขมร บางรูปก็ไม่ใช่นางรำ
แต่เป็นลวดลายแบบเขมร ติดอยู่ตามกำแพง หรือตรงบันไดและทางเดิน ฉันเห็นหน้าเพื่อนแล้วรู้สึกได้ว่าทุกคนกลัวค่ะ
แล้วเราก็เข้าห้องพักกันห้องละ4-5คนเหมือนเดิม แต่ละคนผลัดกันไปอาบน้ำและเข้านอน
ฉันกำลังจะหลับ กึ่งหลับกึ่งตื่นแต่ยังไม่หลับสนิท เพื่อนของฉันที่นอนข้างๆกันก็สะดุ้งตื่นตกใจแล้วถามว่าได้ยินเสียงเปิดประตูมั้ย
ฉันงัวเงียตอบไปว่า ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เพื่อนนางนั้นเธอก็ไม่เชื่อฉันค่ะ
เธอบอกว่า “ได้ยินเสียงจริงๆนะ จริงๆ เสียงประตูเปิด” แล้วนางก็ไม่ยอมนอน
แต่ตอนนั้นฉันง่วงจนลืมกลัวทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยหลับไป
ไม่ได้สนใจเลยว่าเพื่อนจะนอนหลับยังไง5555เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ ตื่นเช้ามาเธอก็เล่าให้ทุกคนฟัง
แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย ฉันเองก็ไม่ได้ยิน แต่ตอนก่อนนอนฉันก็กลัวมาก
กลัวจะตื่นมาเจออะไรคนเดียวกลางดึก ในหัวก็จินตนาการนางรำเขมร แต่ฉันก็ไม่เจออะไรผิดปกติค่ะ
เราออกจากที่นั่นมาให้เป็นความทรงจำหลอนเบาๆก่อนกลับ แล้วเดินทางต่อไปยัง นครวัด
ปราสาทนครวัด หรือ Angkor Wat เป็นศาสนสถาน สัญลักษณ์ของกัมพูชา ตั้งอยู่ที่จังหวัดเสียมเรียบ
ฉันเองไม่เคยเที่ยวปราสาทหินศิลปะแบบเขมรมาก่อนไม่ว่าจะเป็นที่พนมรุ้งหรือพิมาย
ปราสาทหินที่ฉันได้มาครั้งแรกก็คือนครวัดที่กัมพูชาแห่งนี้เลย ก่อนเข้าไปชมด้านในเราต้องถ่ายรูปทำบัตรเข้าชมและเสียเงินค่าธรรมเนียมที่ด้านหน้าซะก่อน
ขอบอกว่ารูปติดบัตรเข้าชม หน้านี้แย่ยิ่งกว่าบัตรประชาชนใบแรกซะอีก เพลียจริงๆ
พอได้เข้าไปด้านในพื้นที่ปราสาทก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่ งดงาม อลังการงานสร้างจริงๆ
สวยเหมือนหลุดไปในยุคอาณาจักรขอมโบราณเลยล่ะค่ะ แม้ภาพถ่ายจะไม่ชัด แต่ภาพในความทรงจำนั้นชัดเจน
ฉันนึกสงสัยว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนเค้าสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ได้อย่างไร
น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ เราเดินเที่ยวไปในปราสาทจนอิ่มใจแล้วก็ออกเดินทาง
จนถึงชายแดนไทยกัมพูชา ข้ามกลับมาเมืองไทยบ้านเกิด
พร้อมความทรงจำและประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ที่ภาพถ่ายไม่สามารถบันทึกมันไว้ได้ดีเท่าความทรงจำที่ได้เห็นด้วยตา
แม้การเดินทางเยือนกัมพูชาครั้งแรกของฉันจะผ่านมาแล้วหลายปี แล้วตอนนี้กัมพูชาอาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่ฉันเคยเห็นไปแล้ว
แต่รายละเอียดที่น่าจดจำหลายอย่างก็ยังคงอยู่
ฉันเดินทางออกไปเพื่อหาความหมายในชีวิต เพื่อหาคุณค่าในตัวเอง หาความหมายของตัวฉัน
จากที่เคยรู้สึกไร้ค่า ฉันกลับมีพลัง ฉันมีความมั่นใจ
มันเหมือนกับการได้ออกไปทำอะไรให้ตัวเอง เพื่อตัวเอง ได้ออกไปเจอโลกกว้าง
พบเพื่อนใหม่ เปิดมุมมองใหม่ๆให้กับชีวิต ฉันกลับมาด้วยความรักตัวเองมากขึ้น
และรู้ว่าฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้มีโอกาสออกเดินทางไปอย่างที่ใจอยากทำ
ฉันได้ลิ้มรสชาติของความอิสระ ฉันเป็นคนให้อิสระกับตัวฉันเอง ฉันได้เรียนรู้ว่า
ไม่มีใครกักขังเราไว้ในอะไรบางอย่างได้หรอก
มีแต่ความยึดติดของเราเท่านั้นที่กักขังเราเอาไว้ในกรงของอะไรบางอย่าง
หรือใครบางคน ก่อนออกเดินทางครั้งนั้นฉันเคยคิดว่าชีวิตฉันขึ้นอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อกลับมาแล้วฉันจึงรู้ว่า ชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับตัวฉัน จงมั่นใจที่จะทำสิ่งที่เราคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าดีและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน -คิดว่าดีก็ทำไป-
Good Bye Cambodia
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น