อูคุเลเล่ตัวแรกในชีวิต-แรงบันดาลใจ
เคยมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากๆกันไหมคะ
สำหรับฉันมีอยู่เสมอค่ะ และแรงบันดาลใจของฉันคราวนี้ก็คือการแบกอู๊คขึ้นดอย ไปเล่นให้เด็กดอยฟัง
เดือนมีนาคม2554 ฉันเดินทางไปเป็นครูบ้านนอกครั้งที่2ในชีวิตที่หมู่บ้านจะจ๋อ จังหวัดเชียงราย หมู่บ้านเล็กๆกลางขุนเขา หมู่บ้านที่มีแต่เด็กเล็กๆวัยกำลังซน เด็กๆบ้านจะจ๋อมีแววตาเป็นประกายเวลาที่คุณครูอาสาสอนร้องเพลงและทำสันทนา การ อืม…ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี
วันสุดท้ายที่หมู่บ้านจะจ๋อ เหล่าครูบ้านนอกต้องเตรียมการแสดงกลุ่มละ1ชุด ชาวบ้านเองก็จะมีการแสดงท้องถิ่นโชว์ให้พวกเราดูเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับโจทย์ให้ทำการแสดงอะไรก็ได้1ชุด เราก็ระดมสมองคิดกันใหญ่ สุดท้ายเราเลือกการแสดงร้องและเต้นเพลงลูกทุ่ง เราเลือกเพลงลูกทุ่งที่ฟังติดหูหลายๆเพลง เลือกร้องกันเฉพาะท่อนฮุค เพราะแต่ละคนก็ร้องกันเต็มๆเพลงไม่ค่อยจะได้ แล้วก็เลือกมาหลายๆเพลง กลายเป็นเมดเลย์เพลงลูกทุ่งมันส์ๆ ฮาๆ ประกอบท่าเต้นที่เราช่วยกันคิด ในยุคนี้เพลงที่ต้องร้องเป็นโจทย์บังคับเลยก็คือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทร พร้อมท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ เราซ้อมกันอยู่แค่ไม่กี่รอบเท่านั้นเอง ก่อนจะแยกย้ายไปพักผ่อนทำภารกิจส่วนตัวก่อนที่จะกลับมารวมตัวอีกครั้งในงาน คืนนี้ ตื่นเต้นจัง
แล้วงานคืนนี้พิเศษยังไง ฉันเฝ้ารอคอยงานคืนนี้ด้วยอีก1เหตุผลก็คือ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใส่ชุดประจำเผ่าของชาวบ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่ ด้วย ชนเผ่าลาหู่ (ลาหู่แดงด้วยนะ) เจ้าของบ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย หรือที่เราเรียกกันว่าแม่ เตรียมชุดชนเผ่าไว้ให้ฉันใส่ เป็นเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน แต่งด้วยแถบสีแดงที่คอและแขน แสดงให้เห็นว่านี่คือลาหู่แดง และผ้านุ่งมีเชิงที่ใส่ด้วยกันแล้วดูสวยมากๆ แม่แต่งชุดให้ฉันอย่างตั้งใจ ทั้งช่วยนุ่งผ้า ติดตะขอ และจัดทรงเสื้อ เพื่อให้แขกต่างเมืองคนนี้ใส่ชุดชนเผ่าออกมาให้สวยงามที่สุด และพร้อมที่จะไปเต้นจะคึโดยที่ผ้านุ่งไม่หลุดกลางวงเสียก่อน

และแล้วก็ถึงเวลางาน ล้อมรอบกองไฟเป็นวงกลม มีผู้คนทั้งชาวบ้านจะจ๋อและเหล่าครูบ้านนอกรอคอยการเริ่มงานอย่างใจจดใจจ่อ บรรยากาศดูคึกคัก มันทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆตอนเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารี ที่จะมีคืนสุดท้ายรอบกองไฟ มีการแสดงของกลุ่มต่างๆ ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นมันกลับมาอีกครั้งในวันนี้ เราเริ่มต้นด้วยการแสดงจากครูบ้านนอก ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเป็นคิวที่เท่าไหร่จาก3กลุ่ม แต่จำได้ว่า พวกเราทั้งกลุ่มยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน ทุกคนอยู่ในชุดชนเผ่าลาหู่ และเริ่มร้องเพลงกันสดๆพร้อมๆกัน ทั้งร้องทั้งเต้น “ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ-คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจ อยู่-ชอบม้า ชอบม้า รูปร่างหน้าตาอย่างเนี้ยถามหน่อยเถอะพี่ชอบม้าชอบม้า…ฯลฯ” มันหลายเพลงมาก ฉันเองก็จำไม่ได้แล้วว่ายังมีเพลงอะไรอีกบ้าง เวลาที่เราร้องและเต้น ชาวบ้านและครูบ้านนอกคนอื่นๆก็ช่วยกันปรบมือให้จังหวะ ซึ่งนั่นทำให้การแสดงของเราไม่เงียบเกินไปและมีสีสันขึ้นมาได้….มันเป็น เหตุการณ์ที่จุดประกายว่า อืม…ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี
เมื่อมีประกายแล้ว มันก็ต้องทำให้ไฟติดลุกโชติช่วงชัชวาลสินะ 5555 แค่คิดว่า อืม..ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี แล้วปล่อยผ่านไปมันคงเป็นอะไรที่น่าเสียดาย เ มื่อกลับถึงกรุงเทพ สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ แล้วเครื่องดนตรีอะไรดีล่ะที่จะแบกขึ้นดอยไปสร้างสีสันให้เด็กๆและชาวบ้าน ได้ด้วยไหล่เล็กๆของชะนีน้อยผู้นี้ กีตาร์หรอ…ใหญ่ไปขนลำบาก ไข่เขย่าหรอ…ก็แค่เขย่าไง ไม่มีโน๊ตเพลงอะไรเลย อืมม แต่เวลาเข้าป่าเข้าดอยเค้าก็แบกกีตาร์กันไปนะส่วนใหญ่ มันมีอะไรที่เล็กกว่านั้น แต่ให้ความสนุกได้พอๆกันแล้วเล่นง่ายกว่ากีตาร์บ้างมั้ยนะ…….
ใช่แล้ว มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากอูคุเลเล่ ไชโยยยยยย
หลังจากกลับมาจากครูบ้านนอกครั้งนั้นได้1สัปดาห์ ชั้นก็ไปตระเวนหาร้านขายอูคุเลเล่หลายๆที่ จนในที่สุดก็มาตามหาอูคุเลเล่ตัวแรกในชีวิตที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ใครเคยมาก็คงจะรู้ว่า มันกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน มีร้านรวงเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วน ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเดินทั่ว ไปกี่ครั้งก็หลงทางทุกที แต่คราวนี้จะต้องมาตามหาอูคุเลเล่ตัวแรกในชีวิตให้ได้ เดินอยู่เป็นชั่วโมง เข้าตรอกซอกซอย หลงไปเดินท่ามกลางร้านขายอาหารหมา จนในที่สุดก็โผล่มาเจอกับร้านขายอูคุเลเล่ร้านนึงซึ่งอยู่ริมทางเดินรอบนอก ร้านนี้ขายอูคุเลเล่ทั้งร้าน และมีลูกค้าเป็นฝรั่งสองนางเลือกซื้ออูคุเลเล่อยู่ ด้วยความดีใจ ฉันปรี่เข้าไปที่หน้าร้าน มองดูอูคุเลเล่แบบต่างๆ มีหลายลาย หลายสี หลายขนาด หลายราคาให้เลือก ฉันเองก็เลือกไม่เป็นหรอก แล้วเกณฑ์การเลือกของฉันที่มีในหัวก็คือ ราคาไม่เกิน1500 เป็นลายไม้สีสวย เสียงก็ฟังไม่ค่อยเป็นเอาที่ว่าดีดแล้วไม่แป๋งไม่แปร่งก็พอ แล้วฉันก็ถูกใจอูคุเลเล่ตัวหนึ่งราคาพันสาม คนขายบรรยายว่า นี่ทำจากไม้มะม่วง เสียงดีเลยนะ ว่าแล้วเค้าก็จัดการบรรเลงอูคุเลเล่ตัวนั้นเป็นเพลงให้ฉันได้ฟัง โอ้โห ทำไมมันเพราะจัง ฉันเอามาลองบ้าง ดีดก็ไม่เป็น ฉันเลยทำได้แค่ดึงๆมันสองสามที แล้วก็…”เอาตัวนี้แหละค่ะ” แล้วฉันก็ได้เจ้าอูคุเลเล่ตัวนี้กลับบ้าน ฉันตั้งชื่อให้มันว่า น้องมะม่วง ด้วยความปลื้มปิติยินดี ฉันเลยถ่ายรูปคู่กับน้องมะม่วงกลางสวนจตุจักรไว้เป็นที่ระลึกด้วย แล้วก็พาน้องมะม่วงกลับมาที่บ้าน


ถึงบ้าน ฉันหาครูสอนอูคุเลเล่ส่วนตัวโดยการเปิด Youtube มีหลายคลิปที่สอนเล่นเป็นเพลงง่ายๆมากมาย เท่าที่หาข้อมูลมาเขาว่ากันว่า เพลงเบาเบา เล่นง่ายที่สุด เหมาะกับมือใหม่หัดเล่นอูคุเลเล่ ฉันเปิดคลิป หาคอร์ด แล้วเล่นตาม
โหแม่เจ้า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนี่หว่า สำหรับคนที่ไม่เคยจับเครื่องดนตรีประเภทนี้มาก่อนเลยอย่างฉัน “เปลี่ยนคอร์ดยังไงเนี่ย เปลี่ยนคอร์ดไม่ทัน ดีดไม่โดน” และอีกสารพัดอุปสรรค เบาเบา ไม่เบาอย่างที่คิดเลย เฮ้ออ จะรอดมั้ยนะ อูคุเลเล่เพื่อเด็กดอย แต่พอลองคิดไปคิดมา คนอื่นๆเค้าก็ยังเล่นกันได้ มันคงไม่ยากอย่างที่คิด แค่เราลองใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง ลองเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงที่ชอบดู เผื่ออะไรๆมันจะง่ายขึ้น ฉันจึงหาเพลงใหม่เล่น เพลงนั้นคือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทร นั่นเอง เมื่อมันเป็นเพลงที่อยากร้องให้ได้ บวกกับเริ่มชินมือกับน้องมะม่วง อะไรๆก็ง่ายขึ้น เพลงแรกที่ฉันเล่นได้จนจบเพลงก็คือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทรเพลงนี้ และเพลงอื่นๆก็ตามมาเรื่อยๆ
และฉันพร้อมแล้วที่จะแบกอูคุเลเล่ขึ้นดอย ไปร้องให้เด็กๆฟัง ไว้เล่นเกม แล้วก็ทำการแสดงครูบ้านนอกด้วย
เดือนสิงหาคม2554 ครูบ้านนอกครั้งที่3ในชีวิตที่บ้านแม่มอญ ฉันพาน้องมะม่วงขึ้นรถทัวร์ไปยังเชียงราย

ฉันเล่นมันตอนเล่นเกมกะหล่ำปลี (ส่งกระดาษที่เขียนภารกิจเป็นก้อนกะหล่ำปลีไปเรื่อยๆ เพลงหยุดที่ใครคนนั้นต้องเปิดกระดาษภารกิจนั้นแล้วทำตาม) และเกมอื่นๆอีกมากมาย ฉันเล่นมันตอนสอนเด็กๆร้องเพลง ฉันเล่นมันตอนฉันว่าง และมีเพื่อนครูบ้านนอกคนอื่นๆมาร้องเพลงด้วยกัน ถึงแม้ว่าคราวนี้จะไม่มีการแสดงจากครูบ้านนอกเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ถือว่าฉันได้ทำตามความฝันสำเร็จแล้ว แค่เด็กๆสนุกกับมัน เพื่อนครูสนุกกับมัน ก็เพียงพอ

ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า7เดือนแล้วที่ฉันเล่นอูคุเลเล่มา ฉันใช้มันคลายเครียด ฉันใช้มันเวลาที่ฉันเหงา ฉันอยากเล่นมันให้เก่งๆ ฉันไปลงเรียนคอร์สStrumming แบบAdvance ฉันเล่นมันได้ดีขึ้น คล่องขึ้น ฉันดีใจที่มีมันอยู่ด้วย
และฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น Ukulele
แรงบันดาลใจ มันเป็นแรงที่ผลักดันให้เราทำอะไรสักอย่างอย่างที่ใจอยากจะทำ
ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่
แค่เราคิดอยากออกกำลังกายเพื่อหุ่นดีผอมเพรียว เพื่อตัวเองแข็งแรง แล้วเราลุกขึ้นมาเต้นแอโรบิค
แค่เราอยากอ่านหนังสือที่ซื้อมาให้จบ เพราะคิดได้ว่าหนังสือต้องเปิดโลกเราได้มากแน่ๆ แล้วเราลงมืออ่าน
ไม่จำเป็นต้องยาก ไม่ต้องตั้งเป้าหมายไกลๆ
เริ่มตั้งเป้าหมายเล็กๆ แล้วสร้างแรงบันดาลใจทำมันให้สำเร็จ มันก็จะเป็นฐานที่มั่นคงของเป้าหมายใหญ่ๆต่อไปได้
ภูมิใจอีกด้วยว่า เฮ้ยยย กูทำมันได้ว่ะ

สำหรับฉันมีอยู่เสมอค่ะ และแรงบันดาลใจของฉันคราวนี้ก็คือการแบกอู๊คขึ้นดอย ไปเล่นให้เด็กดอยฟัง
เดือนมีนาคม2554 ฉันเดินทางไปเป็นครูบ้านนอกครั้งที่2ในชีวิตที่หมู่บ้านจะจ๋อ จังหวัดเชียงราย หมู่บ้านเล็กๆกลางขุนเขา หมู่บ้านที่มีแต่เด็กเล็กๆวัยกำลังซน เด็กๆบ้านจะจ๋อมีแววตาเป็นประกายเวลาที่คุณครูอาสาสอนร้องเพลงและทำสันทนา การ อืม…ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี
วันสุดท้ายที่หมู่บ้านจะจ๋อ เหล่าครูบ้านนอกต้องเตรียมการแสดงกลุ่มละ1ชุด ชาวบ้านเองก็จะมีการแสดงท้องถิ่นโชว์ให้พวกเราดูเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับโจทย์ให้ทำการแสดงอะไรก็ได้1ชุด เราก็ระดมสมองคิดกันใหญ่ สุดท้ายเราเลือกการแสดงร้องและเต้นเพลงลูกทุ่ง เราเลือกเพลงลูกทุ่งที่ฟังติดหูหลายๆเพลง เลือกร้องกันเฉพาะท่อนฮุค เพราะแต่ละคนก็ร้องกันเต็มๆเพลงไม่ค่อยจะได้ แล้วก็เลือกมาหลายๆเพลง กลายเป็นเมดเลย์เพลงลูกทุ่งมันส์ๆ ฮาๆ ประกอบท่าเต้นที่เราช่วยกันคิด ในยุคนี้เพลงที่ต้องร้องเป็นโจทย์บังคับเลยก็คือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทร พร้อมท่าเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ เราซ้อมกันอยู่แค่ไม่กี่รอบเท่านั้นเอง ก่อนจะแยกย้ายไปพักผ่อนทำภารกิจส่วนตัวก่อนที่จะกลับมารวมตัวอีกครั้งในงาน คืนนี้ ตื่นเต้นจัง
แล้วงานคืนนี้พิเศษยังไง ฉันเฝ้ารอคอยงานคืนนี้ด้วยอีก1เหตุผลก็คือ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ใส่ชุดประจำเผ่าของชาวบ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่ ด้วย ชนเผ่าลาหู่ (ลาหู่แดงด้วยนะ) เจ้าของบ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วย หรือที่เราเรียกกันว่าแม่ เตรียมชุดชนเผ่าไว้ให้ฉันใส่ เป็นเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน แต่งด้วยแถบสีแดงที่คอและแขน แสดงให้เห็นว่านี่คือลาหู่แดง และผ้านุ่งมีเชิงที่ใส่ด้วยกันแล้วดูสวยมากๆ แม่แต่งชุดให้ฉันอย่างตั้งใจ ทั้งช่วยนุ่งผ้า ติดตะขอ และจัดทรงเสื้อ เพื่อให้แขกต่างเมืองคนนี้ใส่ชุดชนเผ่าออกมาให้สวยงามที่สุด และพร้อมที่จะไปเต้นจะคึโดยที่ผ้านุ่งไม่หลุดกลางวงเสียก่อน

และแล้วก็ถึงเวลางาน ล้อมรอบกองไฟเป็นวงกลม มีผู้คนทั้งชาวบ้านจะจ๋อและเหล่าครูบ้านนอกรอคอยการเริ่มงานอย่างใจจดใจจ่อ บรรยากาศดูคึกคัก มันทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆตอนเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารี ที่จะมีคืนสุดท้ายรอบกองไฟ มีการแสดงของกลุ่มต่างๆ ความรู้สึกตื่นเต้นแบบนั้นมันกลับมาอีกครั้งในวันนี้ เราเริ่มต้นด้วยการแสดงจากครูบ้านนอก ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเป็นคิวที่เท่าไหร่จาก3กลุ่ม แต่จำได้ว่า พวกเราทั้งกลุ่มยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน ทุกคนอยู่ในชุดชนเผ่าลาหู่ และเริ่มร้องเพลงกันสดๆพร้อมๆกัน ทั้งร้องทั้งเต้น “ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ-คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจ อยู่-ชอบม้า ชอบม้า รูปร่างหน้าตาอย่างเนี้ยถามหน่อยเถอะพี่ชอบม้าชอบม้า…ฯลฯ” มันหลายเพลงมาก ฉันเองก็จำไม่ได้แล้วว่ายังมีเพลงอะไรอีกบ้าง เวลาที่เราร้องและเต้น ชาวบ้านและครูบ้านนอกคนอื่นๆก็ช่วยกันปรบมือให้จังหวะ ซึ่งนั่นทำให้การแสดงของเราไม่เงียบเกินไปและมีสีสันขึ้นมาได้….มันเป็น เหตุการณ์ที่จุดประกายว่า อืม…ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี
เมื่อมีประกายแล้ว มันก็ต้องทำให้ไฟติดลุกโชติช่วงชัชวาลสินะ 5555 แค่คิดว่า อืม..ถ้ามีเครื่องดนตรีสักชิ้นคงจะดี แล้วปล่อยผ่านไปมันคงเป็นอะไรที่น่าเสียดาย เ มื่อกลับถึงกรุงเทพ สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ แล้วเครื่องดนตรีอะไรดีล่ะที่จะแบกขึ้นดอยไปสร้างสีสันให้เด็กๆและชาวบ้าน ได้ด้วยไหล่เล็กๆของชะนีน้อยผู้นี้ กีตาร์หรอ…ใหญ่ไปขนลำบาก ไข่เขย่าหรอ…ก็แค่เขย่าไง ไม่มีโน๊ตเพลงอะไรเลย อืมม แต่เวลาเข้าป่าเข้าดอยเค้าก็แบกกีตาร์กันไปนะส่วนใหญ่ มันมีอะไรที่เล็กกว่านั้น แต่ให้ความสนุกได้พอๆกันแล้วเล่นง่ายกว่ากีตาร์บ้างมั้ยนะ…….
ใช่แล้ว มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากอูคุเลเล่ ไชโยยยยยย
หลังจากกลับมาจากครูบ้านนอกครั้งนั้นได้1สัปดาห์ ชั้นก็ไปตระเวนหาร้านขายอูคุเลเล่หลายๆที่ จนในที่สุดก็มาตามหาอูคุเลเล่ตัวแรกในชีวิตที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ใครเคยมาก็คงจะรู้ว่า มันกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน มีร้านรวงเล็กๆมากมายนับไม่ถ้วน ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเดินทั่ว ไปกี่ครั้งก็หลงทางทุกที แต่คราวนี้จะต้องมาตามหาอูคุเลเล่ตัวแรกในชีวิตให้ได้ เดินอยู่เป็นชั่วโมง เข้าตรอกซอกซอย หลงไปเดินท่ามกลางร้านขายอาหารหมา จนในที่สุดก็โผล่มาเจอกับร้านขายอูคุเลเล่ร้านนึงซึ่งอยู่ริมทางเดินรอบนอก ร้านนี้ขายอูคุเลเล่ทั้งร้าน และมีลูกค้าเป็นฝรั่งสองนางเลือกซื้ออูคุเลเล่อยู่ ด้วยความดีใจ ฉันปรี่เข้าไปที่หน้าร้าน มองดูอูคุเลเล่แบบต่างๆ มีหลายลาย หลายสี หลายขนาด หลายราคาให้เลือก ฉันเองก็เลือกไม่เป็นหรอก แล้วเกณฑ์การเลือกของฉันที่มีในหัวก็คือ ราคาไม่เกิน1500 เป็นลายไม้สีสวย เสียงก็ฟังไม่ค่อยเป็นเอาที่ว่าดีดแล้วไม่แป๋งไม่แปร่งก็พอ แล้วฉันก็ถูกใจอูคุเลเล่ตัวหนึ่งราคาพันสาม คนขายบรรยายว่า นี่ทำจากไม้มะม่วง เสียงดีเลยนะ ว่าแล้วเค้าก็จัดการบรรเลงอูคุเลเล่ตัวนั้นเป็นเพลงให้ฉันได้ฟัง โอ้โห ทำไมมันเพราะจัง ฉันเอามาลองบ้าง ดีดก็ไม่เป็น ฉันเลยทำได้แค่ดึงๆมันสองสามที แล้วก็…”เอาตัวนี้แหละค่ะ” แล้วฉันก็ได้เจ้าอูคุเลเล่ตัวนี้กลับบ้าน ฉันตั้งชื่อให้มันว่า น้องมะม่วง ด้วยความปลื้มปิติยินดี ฉันเลยถ่ายรูปคู่กับน้องมะม่วงกลางสวนจตุจักรไว้เป็นที่ระลึกด้วย แล้วก็พาน้องมะม่วงกลับมาที่บ้าน


ถึงบ้าน ฉันหาครูสอนอูคุเลเล่ส่วนตัวโดยการเปิด Youtube มีหลายคลิปที่สอนเล่นเป็นเพลงง่ายๆมากมาย เท่าที่หาข้อมูลมาเขาว่ากันว่า เพลงเบาเบา เล่นง่ายที่สุด เหมาะกับมือใหม่หัดเล่นอูคุเลเล่ ฉันเปิดคลิป หาคอร์ด แล้วเล่นตาม
โหแม่เจ้า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนี่หว่า สำหรับคนที่ไม่เคยจับเครื่องดนตรีประเภทนี้มาก่อนเลยอย่างฉัน “เปลี่ยนคอร์ดยังไงเนี่ย เปลี่ยนคอร์ดไม่ทัน ดีดไม่โดน” และอีกสารพัดอุปสรรค เบาเบา ไม่เบาอย่างที่คิดเลย เฮ้ออ จะรอดมั้ยนะ อูคุเลเล่เพื่อเด็กดอย แต่พอลองคิดไปคิดมา คนอื่นๆเค้าก็ยังเล่นกันได้ มันคงไม่ยากอย่างที่คิด แค่เราลองใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง ลองเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงที่ชอบดู เผื่ออะไรๆมันจะง่ายขึ้น ฉันจึงหาเพลงใหม่เล่น เพลงนั้นคือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทร นั่นเอง เมื่อมันเป็นเพลงที่อยากร้องให้ได้ บวกกับเริ่มชินมือกับน้องมะม่วง อะไรๆก็ง่ายขึ้น เพลงแรกที่ฉันเล่นได้จนจบเพลงก็คือ ขอใจเธอแลกเบอร์โทรเพลงนี้ และเพลงอื่นๆก็ตามมาเรื่อยๆ
และฉันพร้อมแล้วที่จะแบกอูคุเลเล่ขึ้นดอย ไปร้องให้เด็กๆฟัง ไว้เล่นเกม แล้วก็ทำการแสดงครูบ้านนอกด้วย
เดือนสิงหาคม2554 ครูบ้านนอกครั้งที่3ในชีวิตที่บ้านแม่มอญ ฉันพาน้องมะม่วงขึ้นรถทัวร์ไปยังเชียงราย

ฉันเล่นมันตอนเล่นเกมกะหล่ำปลี (ส่งกระดาษที่เขียนภารกิจเป็นก้อนกะหล่ำปลีไปเรื่อยๆ เพลงหยุดที่ใครคนนั้นต้องเปิดกระดาษภารกิจนั้นแล้วทำตาม) และเกมอื่นๆอีกมากมาย ฉันเล่นมันตอนสอนเด็กๆร้องเพลง ฉันเล่นมันตอนฉันว่าง และมีเพื่อนครูบ้านนอกคนอื่นๆมาร้องเพลงด้วยกัน ถึงแม้ว่าคราวนี้จะไม่มีการแสดงจากครูบ้านนอกเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ถือว่าฉันได้ทำตามความฝันสำเร็จแล้ว แค่เด็กๆสนุกกับมัน เพื่อนครูสนุกกับมัน ก็เพียงพอ




ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า7เดือนแล้วที่ฉันเล่นอูคุเลเล่มา ฉันใช้มันคลายเครียด ฉันใช้มันเวลาที่ฉันเหงา ฉันอยากเล่นมันให้เก่งๆ ฉันไปลงเรียนคอร์สStrumming แบบAdvance ฉันเล่นมันได้ดีขึ้น คล่องขึ้น ฉันดีใจที่มีมันอยู่ด้วย
และฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น Ukulele
แรงบันดาลใจ มันเป็นแรงที่ผลักดันให้เราทำอะไรสักอย่างอย่างที่ใจอยากจะทำ
ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่
แค่เราคิดอยากออกกำลังกายเพื่อหุ่นดีผอมเพรียว เพื่อตัวเองแข็งแรง แล้วเราลุกขึ้นมาเต้นแอโรบิค
แค่เราอยากอ่านหนังสือที่ซื้อมาให้จบ เพราะคิดได้ว่าหนังสือต้องเปิดโลกเราได้มากแน่ๆ แล้วเราลงมืออ่าน
ไม่จำเป็นต้องยาก ไม่ต้องตั้งเป้าหมายไกลๆ
เริ่มตั้งเป้าหมายเล็กๆ แล้วสร้างแรงบันดาลใจทำมันให้สำเร็จ มันก็จะเป็นฐานที่มั่นคงของเป้าหมายใหญ่ๆต่อไปได้
ภูมิใจอีกด้วยว่า เฮ้ยยย กูทำมันได้ว่ะ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น