เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:6:.ภารกิจแรกของอาสาสมัครนานาชาติ และอาหารฮ่องกงมื้อแรก

ฉันกินอาหารเช้าที่สำนักงาน SCI เป็นมื้อแรกของวัน แต่เปล่าค่ะ มื้อนี้ไม่ใช่อาหารฮ่องกง แต่เป็น...ซีเรียลใส่น้ำอุ่น...ปกติฉันไม่ชินกับการกินซีเรียลใส่น้ำเปล่าเท่าไหร่ เพราะปกติฉันเชื่อว่าเกือบทุกคนกินมันกับนม แต่ ณ เวลานั้น ในสำนักงาน SCI ไม่มีอะไรให้กินเท่าไหร่ ฉันจึงจำเป็นต้องกินซีเรียลกับน้ำเปล่ากันตายไป 1 มื้อ โถ่...อดอยากจริงๆเจินลี่ แต่ถ้าหิวระหว่างวัน ฉันก็มีช๊อคโกแลตโง่ๆอันจิ๋วที่เก็บมาจากบนเครื่องบินติดกระเป๋าอยู่ 1 อัน อาจช่วยกันตายได้อีกทางหนึ่ง

พอกินอาหารเช้ารองท้องกันเสร็จแล้ว ซาร่าพาเราทั้ง 3 คน ฉัน แมทธิว และซาช่าลงรถไฟใต้ดินไปเพื่อพบกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน ที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในฝั่งเกาลูน (ฝั่งที่เป็นแผ่นดินใหญ่ของฮ่องกงนั่นเองค่ะ)

ลงรถไฟใต้ดินแล้วก็ต้องเปลี่ยนสายประมาณ 2 ครั้ง ระหว่างทางทั้งซาร่า ซาช่า และแมทธิวต่างคุยกันเป็นภาษาอังกฤษรัวๆ ณ ตอนนั้น ความรู้สึกของเจินน้อยเด็กดอยเคว้งคว้างและโดดเดี่ยวมากเพราะเหตุผลหลักๆสามข้อคือ  หนึ่งคือฟังไม่ทัน สองคือฟังไม่ทัน สามก็คือ ฟังไม่ทันอีกนั่นแหละ...แถมอีกข้อคือ พูดไม่ทันด้วยค่ะ ด้วยความที่ปกติแทบไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเลย ภาษาอังกฤษที่ใช้ส่วนใหญ่ก็แค่การอ่าน เขียน ในอีเมลล์เท่านั้น ตั้งแต่เรียนหนังสือมา ก็อ่าน และเขียน ให้พอทำข้อสอบผ่าน แต่พอต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับให้ฟังและพูดเท่านั้นเลยอาการไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก แถมยังเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเยอรมันและฝรั่งเศสอีกด้วย  โอ้ย เจินมึนค่ะบอกเลย ซาร่าเห็นฉันเงียบ เธอพยายามชวนคุยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น และฉันก็ออกปากบอกซาร่าว่า “เอ่ออ บางทีฉันก็ฟังไม่ทันอ่ะนะ ฉันขอโทษด้วย” ซาร่าบอกว่า ถ้าฟังไม่ทันเมื่อไหร่ให้บอกนะ เธอจะได้พูดให้ช้าลง ฉันรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย

สักพักเพื่อนร่วมทีมของเราที่เป็นผู้ชายตัวโตที่สุดในที่นี้...ซาช่า ก็เกิดอาการเหมือนขาดน้ำตาล ทุกคนช่วยกันควานหาขนม ลูกอม หรืออะไรสักอย่างในกระเป๋าตัวเองให้ซาช่า แต่ก็ไม่มีใครมีอาหารติดตัวมาเลย จำช๊อคโกแลตกันตายของฉันได้ไหมค่ะ ใช่ค่ะ...ช๊อคโกแลตจากบนเครื่องบินที่ฉันมีเหลืออยู่ 1 อัน ฉันควานหาในกระเป๋าและยกช๊อคโกแลตจิ๋วนั้นให้ซาช่าไป รอดไปนะเพื่อน...หมดซะแล้วอาหารกันตายของเจินน้อยผู้อดอยาก แต่ก็ยังดีที่ช๊อคโกแลตโง่ๆของฉันช่วยเพื่อนไว้ได้ หวังว่าระหว่างวันฉันจะมีน้ำตาลในเลือดเหลือเพียงพอหากได้กินอาหารกลางวันอันโอชะ

ในที่สุด ซาร่าก็พาเราลงจากรถไฟที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่ง และโผล่ขึ้นมาบนพื้นกลางฝั่งเกาลูน พูดเหมือนตัวเองเป็นตัวตุ่นยังไงไม่รู้เนาะ...เรามาที่นี่เพื่อมาพบกับเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่รอเราอยู่ตรงประตูทางออกนั่นแล้ว คนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัยประมาณสามสิบปลายๆ ผมซอยสั้น รูปร่างท้วมท่าทางใจดี ที่แนะนำตัวเองว่าชื่อเครเดิลหรือมีชื่อเล่นว่าซีซี และชายหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่ารูปร่างท้วมกลมอีกคนหนึ่ง ใส่แว่นตา ซึ่งเขาแนะนำตัวเองว่าเป็นนักบินฝึกหัดอยู่ที่ออสเตรเลียเขาก็คือเพอร์รี่ ทั้งเครเดิลและเพอร์รี่เป็นคนฮ่องกง และทั้งสองน่าจะเป็นญาติกันทางใดทางหนึ่ง ซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขามีความเกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน รู้แค่ว่านามสกุลเดียวกัน


เครเดิลกับ ซาช่า แมทธิว และเจินเจิน

เมื่อรู้จักกับเครเดิลและเพอร์รี่เรียบร้อยแล้ว ซาร่าก็ส่งต่อหน้าที่ดูแลอาสาสมัครนานาชาติ เจินเจิน แมทธิว ซาช่า ไว้ในมือของเครเดิลและเพอร์รี่ เพราะเธอจะต้องกลับไปที่ออฟฟิศ SCI รอรับเพื่อนอาสาสมัครคนอื่นๆของพวกเราที่กำลังมาถึงในวันนี้ และพวกเราคงจะได้พบกันทั้งหมดในตอนเย็น

เครเดิลเดินนำพวกเราทั้งหมดไปที่ๆหนึ่งซึ่งฉันฟังแล้วก็งงๆว่ามันคือที่ไหนกัน? ก็ได้แต่เดินตามไปเรื่อยๆ เครเดิลพาเราเดินทะลุห้างสรรพสินค้า (เส้นทางในฮ่องกงนี่ คงเป็นปกติที่เราจะเดินทะลุห้างเมื่อไหร่ก็ได้) ผ่านศูนย์อาหารกลิ่นหอมฉุยพาเอาท้องร้อง เดินผ่านสนามเด็กเล่น โรงเรียนอนุบาล ลานกว้างที่กำลังมีผู้สูงอายุรำไทเก็กกันอยู่ เครเดิลไม่รอช้า รีบเข้าไปทำท่ารำ และเก็กให้พวกเราถ่ายรูปให้แกหน่อย ฮ่าๆๆๆ



เครเดิลเป็นผู้หญิงอารมณ์ดี เธอชวนฉันคุยตลอดทาง เครเดิลชอบประเทศไทย เคยมาเมืองไทย และมีเพื่อนเป็นคนไทยด้วย เครเดิลดูจะชอบฉันเป็นพิเศษ เธอเรียกฉันว่า สาวสวยจากประเทศไทยแทนการเรียกชื่อฉันตลอดเวลา แหม่ๆ เรียกงี้ก็เขินแย่สิคะ พอดีก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แค่พอจะประกวดเทพีนกเป็ดน้ำได้เท่านั้นเอง...เอิ่มมมม...

ก่อนไปถึงเครเดิลบอกกับพวกเราว่า เด็กๆที่เราจะพบในวันนี้ มาจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอกำชับพวกเรา ไม่ให้พูดถึงเรื่องครอบครัว ห้ามถามเกี่ยวกับพ่อแม่ว่าพวกเขาว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน เพราะเด็กบางคนอาจจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก

ในที่สุด เครเดิลก็พาเราเดินมาจนถึงอาคารแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า HKFYG Jockey Club Wang Tau Hom Youth S.P.O.T  เปิดประตูเข้ามา ก็เจอเด็กๆรุ่นราวม.ต้น อายุน่าจะซัก 12-15 ปี ทั้งหมด 10 คน นั่งรอกันอยู่พร้อมแล้ว มีไกด์ท้องถิ่นคนหนึ่งที่แนะนำตัวว่าชื่อ จอร์แดน เขากำลังเรียนปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์ฮ่องกง เขานั่นเองที่จะพาพวกเราและเด็กๆไปทัวร์กันในวันนี้


แล้วจะไปในที่ต่างๆพร้อมกันเกือบ 20 คนได้ยังไง?...พวกเรามีสิทธิพิเศษค่ะ ทางนี้เค้าจัดรถบัสไว้ให้พวกเราและเด็กๆได้เที่ยวในแหล่งประวัติศาสตร์ของฮ่องกงในแบบที่จะไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนได้เที่ยว ลองนึกดูถ้าซื้อทัวร์มาเที่ยวฮ่องกงเอง คงได้ไปแต่วิคตอเรียพีค อเวนิวออฟสตาร์ พระใหญ่ลันเตา กระเช้านองปิง ดิสนีย์แลนด์ อะไรเทือกๆนั้น และคงไม่มีโอกาสได้เห็นสถานที่แบบที่กำลังจะไปสัมผัสในวันนี้เลย นึกดูแล้วก็คุ้มค่ามากเหมือนกันนะ
ในรถบัสของพวกเรา
ฉันนั่งอยู่ใกล้เด็กผู้หญิงคู่หนึ่ง ฉันชวนพวกเธอคุย ถามพวกเธอว่าเรากำลังจะไปไหนกัน เด็กๆดูยังเขินอายที่จะพูดภาษาอังกฤษเล็กน้อย เกี่ยงกันตอบไปมา จนในที่สุดเธอก็บอกกับฉันว่า “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” แป่วววว

เรามายืนกันอยู่หน้าอาคารสไตล์โคโลเนียลที่ดูเก่าแต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ นี่คือที่แรกที่เรามาถึง เป็นมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Babtish University ซึ่งแต่เดิมที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศฮ่องกงมาก่อน จอร์แดนแบ่งกลุ่มพวกเราเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอาสาสมัคร 2 คน และเด็กๆ 5 คน แล้วจึงให้พวกเราเล่นเกมตามหาภาพปริศนา เขาให้กระดาษเรามาแผ่นนึงซึ่งมีรูปภาพอยู่ 5 รูป ให้พวกเราไปตามหาของจริงว่าของในภาพเหล่านั้นตั้งอยู่ตรงไหน ใช้ทำอะไร และถ่ายรูปมาเป็นหลักฐานด้วย ฉันอยู่กับแมทธิว ซาช่าอยู่กับเพอร์รี่ และเรามีเด็กๆในสังกัด 5 คน พวกเราและเด็กๆออกตามหาภาพปริศนากันอย่างสนุกสนานในพื้นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้เล่นเกมแบบเด็กๆ กับเด็กๆ ก็ทำให้เรารู้สึกกลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง ฉันกับเด็กๆตามหาภาพจนครบและกลับมาส่งงานเสร็จเป็นกลุ่มแรก เย้ๆ ชนะแล้ว จอร์แดนเล่าว่า ด้านหน้าอาคารโคโลเนียลแห่งนี้เดิมเคยเป็นสนามบินของกองทัพอากาศฮ่องกง  แต่ด้วยความหนาแน่นของประชากร สนามบินจึงถูกย้ายไปอยู่ตรงที่เป็นสนามบินในปัจจุบัน และพื้นที่ที่เคยเป็นสนามบินของที่นี่ ปัจจุบันก็กลายเป็นตึกสูงมากมายตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าให้ฉันเห็น



















เราเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้นได้ไม่ไกล ก็มาหยุดกันที่วัดซานชานกั๋วหวัง จริงๆแล้วที่นี่หน้าตาเหมือนศาลเจ้ามากกว่า อาคารทรงจีนไม่ใหญ่มาก ด้านหน้ามีกระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ จอร์แดนมอบภารกิจให้เด็กๆอธิบายประวัติความเป็นมาของวัดนี้ให้เหล่าอาสาสมัครฟัง เขาให้เด็กๆเข้าไปหาข้อมูลประวัติของวัดด้านใน ซึ่งอยู่ในกระดาษใส่กรอบแขวนไว้ในวัด เด็กๆอ่านภาษาจีนตัวเต็มในกระดาษที่ผนังนั่นแล้วก็คงจะไม่เข้าใจ แต่โลกเรามีเทคโนโลยีก้าวไกลแล้วค่ะ เมื่อไม่เข้าใจภาษาจีนโบราณ เด็กๆก็หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมา เซิร์ชหาชื่อวัด และแน่นอนว่า มีประวัติของวัดและตำนานเกี่ยวกับวัดนี้ขึ้นมาเล่าให้พวกเราฟังมากมาย เด็กๆอ่านภาษาจีนจากโทรศัพท์ แล้วพยายามแปลเป็นภาษาอังกฤษให้พวกเราฟัง ฉันเองฟังแล้วก็ยังงงๆอยู่ว่าที่มาที่ไปของวัดนี้เป็นยังไง พอถึงเวลาที่จอร์แดนให้พวกเราเล่า ฉันก็งงเป็นไก่ตาแตกสิคะทีนี้ ฉันเล่าเท่าที่ฉันจับใจความได้ แต่นั่นคงไม่ใช่ทั้งหมดของตำนานที่จอร์แดนอยากให้เรารู้ ดังนั้น เขาจึงเล่ามันใหม่เองเป็นภาษากวางตุ้ง และให้เด็กๆเป็นล่ามให้เราแทนค่ะ แต่พอถึง ณ ตอนที่ฉันกำลังเขียนถึงมันตอนนี้ ฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าตำนานของวัดนี้มีความเป็นมายังไงบ้าง  แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกประทับใจมากก็คือเด็กฮ่องกงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ตอนแรกอาจมีเขินบ้างซึ่งอาจเพราะยังไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า แต่พอเริ่มคุ้นกันแล้วพวกเขาก็สามารถพูดกับเราได้อย่างสบายๆ เป็นกันเองและน่ารักมาก ถ้าเทียบกันแล้วสมัยฉันเป็นเด็กอายุ 14 ฉันยังเล่นโดดยาง บารูนด่านก๊องแก๊งอยู่เลย คงจะดีถ้าที่ไทยมีกิจกรรมฝึกภาษาให้เด็กไทยแบบนี้บ้าง



ออกจากวัด เราเดินไป เดินไป และเดินไปจนถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง จอร์แดนให้พวกเรากระจายตัวนั่งกับเด็กๆ ฉันและซาช่านั่งกับเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักอีกสองคนที่โต๊ะตัวหนึ่ง ร้านอาหารแห่งนี้บรรยากาศเป็นร้านอาหารจีนมากๆ พื้นที่ค่อนข้างแคบ เสียงดังโหวกเหวก เสียงกระทะช้งเช้ง กลิ่นและควันอาหารจากครัวที่มองเห็นได้จากหน้าร้านลอยออกมาปกคลุมบริเวณโต๊ะอาหาร นี่จะเป็นมื้อแรกที่ฉันจะได้กินอาหารฮ่องกงค่ะ แต่ทว่า...เมนูอาหารทั้งหมดนั่น เป็นภาษาจีนตัวเต็มล้วนๆ ไม่มีภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย และภาษาจีนที่ฉันเคยเรียนมา ฉันก็เรียนแต่ตัวย่อซะด้วย งานนี้เลยนั่งมองเมนูด้วยตาละห้อย และฝากท้องไว้กับเด็กน้อยทั้งสอง....”หนูจะสั่งอะไรกัน เอาให้พี่ด้วย 1 ที่นะคะลูก พี่จะกินตามหนู”...เธอบอกกับฉันว่า เธอจะสั่งเมนูนี้นะ พร้อมกับชี้ไปที่รายการหนึ่งในเมนู “มันคืออะไรหรอจ๊ะ” ฉันถาม “มันคือก๋วยเตี๋ยวน้ำ แฮม และไข่ดาวสองฟองค่ะ” เด็กน้อยตอบ โอเคจ้ะ พี่กินอันนี้แหละ รอไม่นานก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ก็มาวางตรงหน้า ชามมันใหญ่แบบที่ฉันนึกในใจว่า...นี่ชามหรือกะละมังซักผ้าคะพี่?? ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส เส้นสีขาวไม่เล็กไม่ใหญ่ มีแฮม 1 แผ่น กับไข่ดาวสองฟอง ฉันเห็นหน้าตามันแล้วก็คิดไม่ออกว่ามันเข้ากันยังไง และนึกรสชาติไม่ออกจนได้ชิมคำแรก...ไหนเค้าว่าฮ่องกงอาหารอร่อยไง...หรือฉันผิดเองที่เลือกกินเมนูนี้ รสชาติก๋วยเตี๋ยวฮ่องกงมื้อแรกของฉันเป็นรสชาติที่คลีน คลีนมากๆ เหมือนไม่ได้ผ่านการปรุงรสด้วยเครื่องปรุงใดๆบนโลกนี้เลยค่ะ มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำซุปกระดูกหมู ในชามมีเส้นก๋วยเตี๋ยวปริมาณเท่าสองคนกิน ผักกวางตุ้งหนึ่งต้น แฮมหนึ่งแผ่น ไข่ดาวสองฟอง ไม่มีกระเทียมเจียว ถั่วงอก ตังฉ่ายแบบก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา และที่สำคัญ มีแต่ตะเกียบ ไม่มีช้อนค่ะ คงไม่ต้องสงสัยว่าจะกินน้ำซุปในชามได้ยังไง ใช่ค่ะ ยกกะละมังซักผ้าซดเลยค่ะ  ด้วยปริมาณที่เยอะขนาดเท่าสองคนกินและรสชาติที่คลีนสนิทของมัน ทำให้ฉันกินเหลือเกือบทั้งชามเลยล่ะ ที่หมดก็แต่ผัก ไข่  และแฮม แน่นอนค่ะ เส้นกับเครื่องมันไม่มีความสมดุลกันซักเท่าไหร่ฉันเลยปล่อยให้เส้นนอนอืดอยู่ในชามกะละมังซักผ้าต่อไป...


เรียบร้อยแล้วกับอาหารฮ่องกงมื้อแรก หลังจากมื้อนี้ฉันคิดว่าคงมีน้ำตาลในเลือดมากพอจากเส้นก๋วยเตี๋ยวปริมาณมหึมาและคงทำให้ฉันมีแรงอยู่ได้ทั้งวัน  หวังว่าอาหารฮ่องกงมื้อต่อไปของฉันคงจะน่าประทับใจกว่านี้ 

ภาพปริศนาแรกคืออ่างล้างตา

ภาพปริศนาที่สองเป็นเสาหลักแรกของฐานทัพนี้

ภาพปริศนาที่สามคือที่พักของเปล่าทหารในกองทัพ

ภาพปริศนาที่สี่คือแผ่นหินสลักปีที่สร้างตึกแห่งนี้

ภาพปริศนาที่ห้าคือเตาผิงที่อยู่ภายในตึกที่ว่า

ลงหลุมหลบภัยไปดูกัน

ภายในหลุมหลบภัยมีรูปภาพแปลกๆนี้ด้วย


ต้นไม้ใหญ่ในมหาวิทยาลัย



ศิลปะบนกระดาษทิชชู่

ในห้องนิทรรศการศิลปะ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค

เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี