เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:7:.ภารกิจแรกของอาสาสมัครนานาชาติ ภาค2

หลังจากมื้อกลางวันผ่านไป ทุกคนกลับขึ้นรถ เรากำลังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไปของวันนี้

รถบัสจอดลงริมถนนหน้าวัดแห่งหนึ่ง วัดแห่งนี้ชื่อวัดชียวนโก๊ะ ที่ประตูทางเข้าวัดมีรูปปั้นทหารสองคนยืนอยู่ จอร์แดนบอกกับเราว่าวัดนี้เป็นวัดเดียวที่มีทหารเฝ้าประตูเป็นทหารอินเดีย อื้มมม รูปปั้นโพกผ้าบนหัวเหมือนคนอินเดียจริงๆด้วย ทางเข้าวัดเป็นบันไดสูงชันวนขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนขึ้นเขาเลยค่ะ(ก็ขึ้นเขาจริงๆนั่นแหละ) มีชานพักระหว่างทางเผื่อคนเหนื่อยด้วย พอขึ้นมาถึงบริเวณวัด เราได้เห็นรูปปั้นเทพเจ้าเรียงรายกันอยู่ในตู้กระจกหลายองค์ด้วยกัน เครเดิลพยายามบอกว่าแต่ละองค์เป็นเทพเจ้าอะไร แต่เมมโมรี่ในสมองน้อยๆของฉันจำได้ไม่หมดจริงๆ แต่ที่เห็นแล้วจำได้เลยก็คือพระพุทธรูปลักษณะอ้วนลงพุง แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์มีโชคมีลาภ พระสังขจายให้ลาภหรือพระสังกัจจายน์นั่นเอง ก็แหม ในวัดพุทธของประเทศไทยก็มีรูปของท่านมากมายเหลือเกิน  



เดินต่อไปอีกเราก็เจอกับตู้กระจกขนาดใหญ่ที่ข้างในจัดแสดงหุ่นรูปปั้นเทพธิดา เทพเจ้า วัว และนกพิราบ อยู่ในฉากสรวงสวรรค์ซึ่งเป็นนิทานตำนานเกี่ยวกับวันแห่งความรักของจีนนั่นเอง เด็กๆช่วยกันเล่าเรื่องราวของตำนานในตู้กระจกนั้นให้ฉันฟังเป็นภาษาอังกฤษกันใหญ่ วัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นแค่วัดแต่ยังเป็นสุสานด้วย มีผู้คนมาไหว้ป้ายชื่อบรรพบุรุษของตัวเองกันมากมายในวันนี้ 



จอร์แดนพาเราเดินไปในถ้ำที่แสดงเรื่องราวของนรกทั้ง 18 ขุมตามความเชื่อของคนจีน เขาเล่าว่าตามความเชื่อแล้วพอคนตายไปจะเจอกับท่านยมตนแรกของขุมที่ 1 ก่อนแล้วก็จะผ่านขั้นตอนการตัดสิน หากทำชั่วมากๆก็จะถูกส่งไปขุมที่ 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆจนครบ18ขุม แต่ละฉากในตู้โชว์ขุมนรกสยองขวัญทั้งนั้นเลยค่ะ มีรูปปั้นที่แสดงรูปแบบการทรมาณในขุมนั้นๆ บรึ๋ยยย ออกมาจากถ้าได้ค่อยโล่งอกสบายใจหน่อย 

จอร์แดนพาเราขึ้นไปข้างบนวัดอีก มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ให้สักการะ วิวจากข้างบนนี้สวยมาก มองไปไกลๆเห็นอ่าววิคตอเรียด้วยล่ะ ลมพัดเย็นๆทำให้คลายร้อนจากแดดตอนบ่ายได้ดีทีเดียว ด้านข้างวัดเป็นป่า เด็กผู้หญิงสองคนเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวที่ต้นไม้ เธอร้องและกระโดดมาหลบอยู่ข้างหลังฉัน ฉันก็ตกใจว่าอะไรกันที่อยู่ตรงนั้น ที่ไหนได้ อ๋อออ...ลิงนั่นเองค่ะ แหม่ ธรรมชาติดีจริงๆวัดนี้


ออกจากวัด ที่สุดท้ายที่เรากำลังไปเป็นหมู่บ้านเก่าค่ะ หมู่บ้านเก่าแก่ที่เหลืออยู่เพียงหมู่บ้านเดียวบนเกาะฮ่องกง แค่ได้ยินก็ตื่นเต้นแล้วว่า เมืองแห่งตึกสูงระฟ้าจะเคยมีหมู่บ้านหน้าตาแบบไหนกัน เรานั่งรถบัสออกจากวัดไปซักพักหนึ่งก็มาหยุดลงตรงริมถนนแห่งหนึ่ง ฉันลงจากรถ จอร์แดนเดินนำพวกเราผ่านร้านขายของริมทาง เป็นร้านที่ของทุกอย่างอยู่ในลังกระดาษเรียงรายกันอยู่บนพื้น เครเดิลดูสนใจของในลังพวกนั้น และชี้ชวนให้ฉันดูลังใบหนึ่งที่ในนั้นเป็นพวกอาหารแห้ง ฉันเห็นขวดไวตามิ้ล ซอสพริก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารเกือบทุกอย่างในกล่องนั้นล้วนมาจากประเทศไทย ฉันรู้ได้ยังไงหรอคะ...ก็เพราะฉลากภาษาไทยยังไงล่ะ เหมือนว่าคนฮ่องกงคงไปหิ้วของจากไทยกลับมาขายยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ  ฉันหยิบขวดไวตามิ้ลและห่อมาม่าขึ้นมาให้เครเดิลดู และบอกว่า “มันมาจากประเทศไทยค่ะ” พร้อมกับยิ้มแก้มแทบฉีกที่ได้เห็นภาษาบ้านเกิดของตัวเองในเมืองที่ห่างไกล ประหนึ่งว่าฉันได้เจอคนบ้านเดียวกัน...เดี๋ยวนะ นี่เจอแค่อาหารไทย ไม่ได้เจอคนไทย... เครเดิลบอกว่าคนฮ่องกงชอบกินอาหารไทยมาก ฉันสามารถพบร้านอาหารไทยได้มากมายตามย่านของกินขึ้นชื่อในฮ่องกง 

เราเดินกันต่อได้อีกหน่อยก็ผ่านร้านขายของมือสองแบกะดินอีก ครั้งนี้เป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น ที่ดูเก่ามากๆ ก็ยังสงสัยว่า เค้าจะขายของเก่ามากขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ...เดินมาอีกหน่อยฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางฟุตบาท ใส่ผ้าคลุมตัดผม มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง กำลังเล็งผมชายคนนั้นอยู่ และตัดผมของเขาออกฉับๆ โอ้พระเจ้า นี่มันร้านตัดผมริมทางของแท้เลยนี่หว่า ฉันดูตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้ามาก เครเดิลบอกฉันว่า ที่ฮ่องกงค่าเช่าที่ เช่าร้านแพงมาก ร้านตัดผมสำหรับคนที่ฐานะไม่ดีก็เลยอยู่กันริมทางแบบนี้แหละ แค่มีเก้าอี้ กรรไกร ผ้าคลุมผม ก็มีร้านตัดผมริมทางได้แล้ว 


จอร์แดนพาเรามาถึงทางเข้าหมู่บ้านเก่าที่มีชื่อว่า “Nga Tsin Wai” เหนือซุ้มประตูทางเข้าหลักของหมู่บ้าน เขียนด้วยภาษาจีนว่า “ขอให้ทวยเทพอวยพรให้หมู่บ้านนี้โชคดี” เราเดินผ่านเข้าประตูมาเจอกับทางหลักเส้นยาวตรงจากประตูทางเข้าไปจนสุดที่ศาลเจ้าเล็กๆประจำหมู่บ้าน ด้านข้างซ้ายและขวาเป็นซอยย่อยเล็กๆ และเป็นที่ตั้งของบ้าน หรือจะเรียกตามสภาพที่เห็นก็น่าจะเรียกได้ว่าเปป็นห้องแถว ห้องแถวชั้นเดียวเตี้ยๆ ขนาดไม่เกิน 10 ตารางเมตรได้ แต่จอร์แดนบอกว่า แต่ละห้องนั้นต้องอยู่กันทั้งครอบครัวซึ่งก็เฉลี่ยครอบครัวละ 6-7 คน แต่ละบ้านไม่มีห้องน้ำในตัวหรอกค่ะ ทุกคนในหมู่บ้านนี้ต้องใช้ห้องน้ำรวมของหมู่บ้าน เห็นแล้วก็ทึ่งมากว่าเขามีชีวิตอยู่กันยังไง จอร์แดนพาเราเดินเข้าไปชมศาลเจ้าที่เหลืออยู่ เทพเจ้าแห่งศาลนี้เป็นเทพแห่งท้องทะเล เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมง คนฮ่องกงแต่ก่อนส่วนใหญ่เป็นชาวประมงด้วยกันทั้งสิ้นค่ะ แน่นอน เพราะเมืองของเขาเป็นเกาะ แต่ ณ ตอนนี้ ที่เราเข้าไปเยี่ยมชม รัฐบาลฮ่องกงสั่งให้คนย้ายออกจากหมู่บ้านนี้ให้หมด เพราะโครงสร้างของอาคารในหมู่บ้านนี้ก็เริ่มไม่แข็งแรงอีกต่อไป ทางการปิดเป็นเขตก่อสร้างเพราะกำลังจะปรับปรุงหมู่บ้านนี้ใหม่ 

ประตูทางเข้าหลักของหมู่บ้าน





และกิจกรรมที่จอร์แดนมอบหมายให้เหล่าอาสาสมัครและเด็กๆได้ทำกันต่อก็คือ เราจะต้องจำลองตัวเองเป็นสถาปนิก จอร์แดนให้เราลองคิดว่า หากทางการฮ่องกงให้เราออกแบบรีโนเวทหมู่บ้านนี้ใหม่ เราจะออกแบบหมู่บ้านแห่งนี้ให้เป็นยังไง จอร์แดนแจกกระดาษวาดรูปขนาดครึ่ง A4 ให้เราคนละแผ่นพร้อมสีเทียน ฉันนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งกับเด็กน้อยอีกสองคน แบ่งกันใช้สีเทียน หมู่บ้านที่ฉันวาดมีบ้านที่มีระยะห่างกันซักหน่อยมีต้นไม้ใหญ่ พุ่มไม้ และน้ำพุ ที่ฉันวาดออกมาแบบนั้นเพราะความรู้สึกตอนเข้าไปดูในหมู่บ้านมันมีแต่ความอึดอัด คับแคบ ไม่มีอากาศหายใจ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกเย็นสบายใจเลย สุดท้ายเลยออกมาเป็นต้นไม้ระหว่างบ้าน กับสวนน้ำพุ เพื่อช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกออกไปนั่นเอง



เสร็จจากกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ ที่หมู่บ้าน Nga Tsin Wai ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟใต้ดินเท่าไหร่นัก เครเดิลบอกว่าพวกเราจะแยกกันตรงนี้เลย เราลาเด็กๆตรงนั้น มีเด็กบางส่วนที่กลับบ้านทางรถไฟใต้ดินเหมือนกัน เราเลยร่วมทางไปด้วยกัน เครเดิลและเพอร์รี่พาฉัน แมทธิวและซาช่าลงสถานีรถไฟใต้ดิน กำลังจะกลับออฟฟิศ SCI แต่ตรงนั้นอยู่ใกล้กับวัดหว่องไท่ซิน วัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่เที่ยวยอดฮิตเลยทีเดียว เครเดิลจึงเสนอว่า เราจะไปเที่ยววัดหว่องไท่ซินด้วยกันก่อนกลับออฟฟิศวันนี้

บันไดซู้ง สูง












ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค

เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี