เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี



ตอนเด็กๆมักได้ยินคนแก่พูดคำว่า ประสบการณ์ ว่า "ประสบปะการณ์"
วันนี้จะขอมาแชร์ประสบปะการณ์ นั่งรถไฟเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย กับการรถไฟแห่งประเทศไทย


ด้วยความที่ดิฉันได้ยินชื่อเสียงของโครงการท่องเที่ยวไปกับการรถไฟมานานแล้ว ดิฉันจึงกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปลองดูซักครั้งในชีวิต ฉันชวนเพื่อนเกรียนๆของฉันไปด้วย 3 นาง รวมฉันด้วยเป็น 4 นางพอดี   
ที่นั่งบนรถไฟเป็นคู่ๆ เราควรหาเพื่อนไปให้เป็นคู่ อย่าไปให้เป็นขี้ เอ้ย คี่ มิฉะนั้นเราอาจจะได้นั่งจ้องตากับคนหน้าแปลก แปลกหน้า มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งได้นะคะ


ตั๋วรถไฟไปเช้าเย็นกลับเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อยราคาอยู่ที่ 120 บาท เป็นแบบธรรมดา และไม่มีแบบปรับอากาศให้เลือกค่ะ เค้ามีอยู่แบบเดียว คือแบบพัดลมธรรมชาติ

ก่อนอื่นดิฉันขอเสนอตอน "พวกเรามาดำอะไรที่นี่"

ทริปนี้ เป็นครั้งแรกที่เราใช้บริการท่องเที่ยวไปกับการรถไฟ และเราก็เลือกไปน้ำตกไทรโยคน้อย ซึ่งเป็นขบวนรถนำเที่ยวแบบไม่มีเครื่องปรับอากาศทั้งขบวน เข้าใจว่าการรถไฟอยากให้เราสัมผัสธรรมชาติ

เช้าวันเสาร์ เรามาถึงสถานีรถไฟบางซื่อ2ตอน6โมงครึ่ง ขึ้นรถไฟปุเลงปุเลงมาเรื่อยๆ

ยอมรับว่าตอนเช้าอากาศดีมาก เย็นสบาย แม้เราจะนั่งหน้าห้องน้ำ และอยู่ใกล้รอยต่อขบวนรถที่มีคนแวะเวียนมาสูบบุหรี่ แต่อากาศตอนเช้าทำให้เรารู้สึกดีและตื่นเต้นมาก

พอสายหน่อย เอาแล้ววว แดดเริ่มมา อากาศเริ่มเสีย ควันบุหรี่หุยๆ ลมธรรมชาติที่เราสัมผัสก็พัดพาเอาซากธรรมชาติทั้งเศษใบไม้ ละอองเกสร แมลงเล็กๆ ไปจนถึงแมลงตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม เข้ามาทางหน้าต่างให้เราได้สัมผัส

เราเหงื่อออกเพราะอากาศที่อบอ้าว
จึงใช้ทิชชู่เช็ดหน้า   โอ้โห นี่หน้าหรือตูดหม้อ
เราใช้ทิชชู่เช็ดขี้มูก   โอ้โห นี่ขี้มูกหรือก้อนชาโคล
เราคันหูไม่รู้เป็นอะไร เราเอานิ้วแคะหูเผื่อแมลงเข้า   โอ้โห นี่ขี้หูหรือ ขี้มูกเมื่อตะกี๊

โอ้โห 6 ชั่วโมงบนรถไฟชั้น3 ช่างดำอะไรเยี่ยงนี้








เมื่อซักประมาณ 8 โมงกว่าๆ รถไฟจอดลงให้เราไปไหว้องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมโดยให้เวลาเราประมาณ 40 นาทีค่ะ พวกฉันคิดว่า โอ้ย ตั้ง 40 นาที เกือบชั่วโมงเลยนะ สบ๊ายย ไปเดินชิลดีกว่า
เดินลงมาตรงตลาดระหว่างสถานีรถไฟและวัดพระปฐมเจดีย์ ชาวบ้าน ร้าน ตลาด รถ เด็ก โอ้ย คนเยอะมากค่ะเดินกันขวักไขว่ รถก็จะขี่ จะขับ จะบีบแตร เดินๆอยู่นี่รถก็มาชนตูดเบาๆเลยทีเดียว คุณพระ!!


เราเจอร้านสะดวกซื้อก็แวะไปตากแอร์ซื้อของเดินเล่นซักพัก แต่พอเหลือบดูนาฬิกา มันไม่พักน่ะสิคะ สงสัยเราจะโหยหาอากาศเย็นมากไปหน่อย เรารีบออกจากเซเว่น ตรงไปไหว้องค์พระปฐมเจดีย์กัน


ขึ้นไปด้านบนเจดีย์ เราก็ไปจุดธูปเทียนสักการะองค์พระ ถวายดอกไม้และปิดทอง ถ่ายรูปอิ๊อ๊ะกันซักพักก็รู้สึกว่า แม่งเอ้ยยย อีก 5 นาทีรถไฟออก แล้วเราเดินกันมาไกลมาก!!





ตายละหว่า วิ่งสิคะงานนี้ เราวิ่งกันมาครึ่งทางแล้ว ก็ได้ยินเสียงหวูดรถไฟเตือน มันไม่ใช่เสียงปู๊นๆน่ารักๆแบบที่เราชอบร้องกันตอนเด็กๆนะคะ แต่มันร้อง หวู่มๆ เสียงของมันคำรามใหญ่มาก อารมณ์ประมาณว่า "พวกมึงรีบกลับมาขึ้นรถไฟให้ทันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะปล่อยพวกมึงทิ้งไว้ที่นี่ และมึงจะได้มาเที่ยวกันแค่นครปฐมเท่านั้นนะวันนี้ ไม่ต้องไปมันแล้ว น้ำตกไทรโยคน้อย" ( ยาวไปนะ แค่เสียงหวู่มๆเนี่ย)

เราวิ่งไม่คิดชีวิตค่ะ ไม่คิดว่าชีวิตการมาเที่ยวจะต้องเจอกับเหตุการณ์วิ่งสู้ฟัดราวหนีตายขนาดนี้ แต่ในที่สุดเราก็วิ่งมาจนถึงรถไฟที่จอดอยู่พร้อมเสียง หวู่มๆ และกลับเข้าที่นั่งอย่างเรียบร้อย

นั่งรถไฟปุเลงปุเลงกันต่อมาจนถึงจุดจอดรถจุดที่สองคือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ที่นี่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองกาญจน์เลยล่ะค่ะ มาถึงเมืองกาญจน์ไม่มาถ่ายรูปกับตอร์ปิโด เอ้ยๆ สะพานข้ามแม่น้ำแควเนี่ย ถือว่ายังมาไม่ถึง พวกเราเหล่าชะนีนางก็จัดการถ่ายรูปอิ๊อ๊ะกับสะพาน น่ารักซะไม่มีค่ะ





จริงๆแล้วจุดชมวิวบนสะพานนี้ก็สวยมากเลยนะ แต่ก็นะ เมื่อเป็นแลนด์มาร์ค คนก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนเยอะดี ถ่ายไปเห็นสะพานอยู่มุมนึง ที่เหลือมีแบ๊คกราวด์เป็นทะเลค่ะ อย่าๆ อย่าพึ่งงง มันคือ “ทะเลหัวคน” ค่ะ พลุกพล่านเลยทีเดียว





ถ่ายกับสะพานจนไม่รู้จะถ่ายท่าไหนดีแล้ว เราก็ไปถ่ายกับรถไฟที่เรานั่งมาบ้างค่ะ แหม่ เกือบทิ้งเราไว้นครปฐมแล้วนะ
เมื่อเราผ่านความดำมาแล้ว 6 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงน้ำตกไทรโยคน้อย


เราทุกคนหิวข้าวมาก เพราะนี่มันก็บ่ายโมงกว่าแล้ว เมื่อเรามาถึงน้ำตก เราก็จะขอนำเสนอช่วง 

"น้องเจิน&friends ชวนชิม"
 
ฉันคิดว่าอาหารประจำชาติไทยไม่ควรเป็นต้มยำกุ้งค่ะ เพราะเราไม่สามารถหาต้มยำกุ้งกินที่ไหนก็ได้ในประเทศ
แต่อาหารประจำชาติไทยควรเปลี่ยนจากต้มยำกุ้งเป็น "ส้มตำ" เพราะเราหาส้มตำกินที่ไหนก็ได้ในประเทศนี้
ไม่ว่าจะไปภูเขา ทะเล น้ำตก เขื่อน แม่น้ำ ในกรุง ในเมือง เราก็จะเจอกับร้านส้มตำ
"ส้มตำคุณค่าที่คุณคู่ควร"
 
แล้วทีนี้ วันนี้ฉันก็ได้มา นั่งรถไฟเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อย ที่กาญจนบุรี เรามาถึงก็เลยเวลาอาหารเที่ยงไปนิดหน่อยแล้ว พวกเราหิวโซ ร้านอาหารมีหลายร้านมากๆค่ะ โอ้ย ละลานตาไปหมด

แต่ทุกร้านที่อยู่ที่นี่คือ "ร้านส้มตำ"
 
เห็นไก่ย่างแดงๆท้องยิ่งร้อง เราเลยจัดการ สั่งส้มตำปูเสื่อนั่งกินริมน้ำตกกันค่ะ
เมนูอาหารวันนี้
-ต้มตำเศษไข่เค็ม
-ลาบต้นหอมใส่หมู
-น้ำตกหอมแดงใส่หมู
-ยำคึ่นช่ายใส่สัตว์ทะเลรวมมิตร
-ไก่ย่างครึ่งตัว
-ข้าวเหนียว4ห่อ
-เป็ปซี่1ขวดลิตร 

โอ้โหหห ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ เมนูที่อร่อยที่สุดคือ "เป็ปซี่"
อากาศร้อนๆอย่างนี้ กินเป็ปซี่ มันชื่นใจเป็นพิเศษ
เมนูอาหารมื้อนี้ทำให้ฉันซาบซึ้งใจว่า เมืองไทยของเราผักเยอะจริงๆค่ะ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักสดๆ แม้หน้านี้จะเข้าหน้าแล้ง แต่ผักของเราก็ยังสดค่ะ
อาหารมื้อนี้ เฮลที้มากๆ เจินล่ะปลื้มใจ พวกเราจะผอมแล้วค่ะ

ยังดีที่มีเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนพวกเราได้คือไก่ย่าง หนังเหนียวๆของไก่ทำให้ฟันของเราแข็งแรง ได้บริหารเหงือกดีมากๆ


ระหว่างที่เรานั่งรออาหารและกินอาหารนั้น เราได้ระดมสมองกันตลอดเวลาว่า 
“เฮ้ยมึง กว่าอาหารจะมาเนี่ย เราจะได้เล่นน้ำตกกันหรอวะ เพราะรถไฟออกบ่าย3โมงตรงกลับบ้านนะ”
“นั่นสิ อย่างดีก็ได้แค่ไปเดินย่ำน้ำให้น้ำมันระเรี่ยตีน จะไปสนุกอะไรวะ เรามานี่เพื่อมาน้ำตกนะ”
เมื่อทุกคนคิดได้ดังนั้น เราจึงตัดสินใจ ทิ้งตั๋วขากลับ ใช่ค่ะ ไม่เสียดงเสียดายอะไรมันทั้งนั้น เพราะมันทั้งเหนื่อย ทั้งทรมาน จะหลับก็หลับไม่สนิท เราไม่อยากเผชิญสภาพเดียวกับตอนขามาอีกแล้ว เราเลยถามคนแถวนั้นว่าเราจะหาทางกลับกรุงได้ยังไง

คนท้องถิ่นบอกเราว่า มีรถเมล์แดงผ่าน รถหมด 5 โมง ให้เรานั่งรถเมล์แดงนี้ไปลงที่ขนส่งในตัวเมืองแล้วค่อยต่อรถตู้ไปกรุงเทพฯ

โอเคค่ะ เราเอาตัวรอดได้แล้ว เราก็เลยกินข้าวต่ออย่างสบายใจ จนเสร็จก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าลงเล่นน้ำตกตอนบ่ายสองโมงครึ่ง ซึ่งตามเวลาแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงเราก็ต้องขึ้นรถไฟกลับแล้วใช่มั้ยคะ แต่!!  เราไม่กลับกับแกแล้วรถไฟไทยยยยยย

แหม่ ตอนที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่ในน้ำแล้วได้ยินเสียงหวูดรถไฟตอนบ่าย 3 โมง ร้องหวู่มๆๆเนี่ย มันช่างสะใจอะไรอย่างนี้  อยากจะร้องบอกเจ้ารถไฟว่า กลับไปเลย ไม่ต้องรอ กูไม่กลับ เย่ๆๆ กลับไปเลย ปู๊นๆ

ตอนนั้นรู้สึกดีใจเหมือนคนเสียสติเลยค่ะ มันจะทุกข์ทรมานมากเกินไปถ้าเราต้องเร่งตัวเองขนาดนั้น พวกเราไม่ลืมว่าพวกเรามาเที่ยวและต้องการพักผ่อน เราจึงยอมทิ้งตั๋วขากลับและลั๊ลลาต่อไปในน้ำตก

น้ำตกไทรโยคน้อยก็น้อยสมชื่อเลยล่ะค่ะ (เพราะน้ำตกไทรโยคใหญ่เขาก็บอกว่ามันใหญ่มากจนเล่นไม่ได้เลย) มีน้ำตกไหลบนหินก้อนใหญ่ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ น้ำไม่สูงมากนัก เราจึงต้องเอาตัวนอนลงไปบนหินให้ได้แช่น้ำ ตรงที่เป็นแอ่งก็มีอยู่ แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่า ในนั้นมีฉี่เด็กความเข้มข้นสูงแน่ เพราะเป็นแอ่งปิด ที่น้ำขุ่นมาก ลงไปได้ครึ่งตัวก็เกิดความรู้สึกสยึมกึ๋ยขึ้นมา ก็เลยขึ้นค่ะ ไม่เอาแล้วแอ่งนี้ 








ซัก3โมงครึ่งเราขึ้นจากน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและมารอรถเมล์แดงตอน4โมงเย็น
รถเมล์แดงนี้รอนานมากๆ จนเราเกือบท้อหาที่นอนแถวนี้แล้วค่ะ 555 แต่ในที่สุดรถก็มา เราขึ้นรถไป มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆอีกหลายคนเป็นเพื่อนเดินทาง เฮ้อ นั่งรถแบบนี้อุ่นใจกว่านั่งรถไฟขามาเยอะเลย อย่างน้อยถ้าง่วง เก้าอี้รถเมล์ก็ยังพอให้หลับไปได้อย่างสบายใจ
ใช้เวลาบนรถเมล์แดงมาชั่วโมงกว่า ในทีสุดเราก็มาถึงตัวเมืองกาญจนบุรี ทีสถานีขนส่งค่ะ

และที่นี่ก็มีวินรถตู้เข้ากรุงเทพมากมายให้เลือกสรร แต่ มันน่ากลัวตรงที่ แต่ละวินแย่งลูกค้าและรีบปิดการขายกันมาก เห็นแล้วกลัวเลยทีเดียวค่ะ เพราะเมื่อเราเดินผ่านวินที่เรียงรายกันอยู่ก็มีมือปริศนามาขวางยื่นตั๋วหรือไม่ก็มาทั้งตัวทั้งเสียงเรียกร้องเชิญชวนให้ขึ้นรถวินตัวเอง แต่เราก็เลือกวินที่เป็นทางกลับบ้านของเราทุกคนด้วยกันนั่นคือรถจากเมืองกาญฯไปหมอชิตซึ่งผ่านถนนงามวงศ์วาน

เลือกรถตู้ที่ถูกใจได้แล้วเราก็ไปซื้อของกิน ขึ้นรถ นั่งเม้ามอยจนถึงเดอะมอลล์งามวงศ์วาน เราทุกคนลงรถที่นี่และแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ความประทับใจวันนี้ตราตึงมากค่ะ

ครบทุกรส ทั้งเหนื่อย ทั้งขำ ทั้งทรมาน ทั้งสนุก ทั้งขี้มูกดำ มาหมดเลย และที่รู้สึกมากขึ้นอีกคือ รักชะนีเกรียนทั้ง3นางมากค่ะ

พบกันใหม่ ทริปหน้า 
สวัสดี

ความคิดเห็น

  1. รักชะนีเช่นกัน รอบหน้าเอาใหม่ กับรถเมล์ไทย 555

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค