เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:10:.ภารกิจที่สองของอาสาสมัครนานาชาติ ณ Saint Barnabas’ Society and Home



เช้าวันนี้เหล่าอาสาสมัครทุกคนต้องเดินทางไปปฐมนิเทศและทำความรู้จักกับ Service Civil International อย่างเป็นทางการที่อาคารแห่งหนึ่งซึ่งชั้นล่างจัดเป็นห้องประชุมขนาดกลาง  ภายในงานมีการกล่าวต้อนรับอาสาสมัครนานาชาติ และชาวฮ่องกงส่วนหนึ่งที่เข้ามาร่วมงานเพราะสนใจงานอาสาสมัคร 

มีอาสาสมัครพี่เก่าชาวฮ่องกงที่มีประสบการณ์ไปทำค่ายระยะยาวที่ประเทศต่างๆมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง หลังจากนั้นแซมซึ่งเป็นพิธีกรเองก็เปิดโอกาสให้ทุกคนในงานได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ทำค่ายซึ่งกันและกัน โดยส่วนใหญ่จะให้ผู้สนใจชาวฮ่องกงมาพูดคุยกับอาสาสมัครนานาชาติอย่างเราๆซะมากกว่า 




ตอนนั้นฉันบอกตามตรงว่า ฉันไม่รู้มาก่อนว่าจะมีคิวนี้ด้วย ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาสาสมัครนานาชาติในประเทศตัวเองเลย ฉันเลยได้แต่เล่าแค่ประสบการณ์ครูอาสาบนดอย และครูอาสาในโครงการทีชฟอร์ไทยแลนด์ไป ก็ไม่รู้ว่าคนที่มาคุยกับฉันเขาจะรู้เรื่องรึเปล่า เพราะตอนนั้นฉันเองก็สับสนในตัวเองอยู่เหมือนกกันเพราะไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า และภาษาอังกฤษในวันที่สองของฉันก็ยังคงอ่อนแอกระท่อนกระแท่นยิ่งนัก เฮ้อออ 

ฉันมานั่งคุยกับโยนาธาน เมื่อเริ่มรู้สึกว่าคุยเรื่องที่เป็นสาระกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแล้ว ฉันกับโยนาธานมานั่งปรับทุกข์กันสองคน และก็ชวนกันคุยตั้งแต่เรื่องที่เราออกนอกประเทศตัวเองด้วยตัวคนเดียวครั้งแรก เรื่องที่เขาจะไปเที่ยวปักกิ่งต่อคนเดียวหลังจบค่าย เรื่องภาษาแม่ที่เขาใช้ในประเทศเม็กซิโก จนมาถึงภาษาจีนที่ฉันกำลังสนใจอยู่ ฉันสอนคำภาษาจีนง่ายๆที่ฉันรู้ให้โยนาธาน และเขาก็ดูตื่นเต้นมาก ซักพัก ฉันก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในงาน ผู้หญิงคนที่พาฉันไปส่งที่โฮสเทล เพื่อนที่น่ารักที่เกือบทำฉันไม่ได้ลงรถเมล์ เจ๊สซี่นั่นเอง ฉันดีใจที่ได้เจอเธอในงานนี้อีกครั้งเจ็สซี่เข้ามาหาฉัน และเราก็เริ่มคุยกันเรื่องภาษาจีนอย่างออกรสยิ่งขึ้น จนคนอื่นๆเริ่มสนใจมาเข้าร่วมวงสนทนาของฉัน บทสนทนาต่อจากนี้เป็นการแชร์ภาษาบ้านเกิดของตัวเองล้วนๆ ฉันสอนตัวหนังสือภาษาไทย โยนาธานสอนภาษาสเปน แมทธิวเองก็ใช้ภาษาสเปนเหมือนกัน ตอนนี้วงสนทนาของเราได้กลายเป็นคอร์สสอนภาษาขนาดย่อมๆ ที่ไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับงานอาสาสมัครอย่างที่คนจัดงานต้องการให้เราคุยเลย 

งานสัมมนาจบลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ แต่พวกเราเหล่าอาสาสมัครนานาชาติยังมีภารกิจต่อ นั่นก็คือไปช่วยตักอาหารแจกคนชราและคนไร้บ้านที่คริสตจักร Saint Barnabas’ Society and Home
เจ้าหน้าที่ SCI บิลลี่ ซาร่า ต้าตี้ และโดโรธี พาพวกเราอาสาสมัครนานาชาติไปหาข้าวเย็นกินกันก่อนจะไปเริ่มภารกิจ พวกเขาพาเราไปกินบะหมี่ร้านหนึ่งในย่านซัมโซยโพที่มีของกินราคาถูกเยอะมาก ฉันเดินตามพวกเขาไป สองข้างทางที่ฉันเดินผ่านทำให้ฉันคิดถึงเยาวราชที่เมืองไทยมาก บรรยากาศเดียวกันเป๊ะ ต่างกันแค่ที่ฮ่องกงถนนทุกสายหน้าตาเหมือนเยาวราชบ้านเรา เมื่อจบมื้อเย็นด้วยบะหมี่ลูกชิ้นปลาเส้นเหนียวนุ่มอร๊อยอร่อย เราก็ออกเดินต่อไปยังเป้าหมายของเรา คริสตจักร Saint Barnabas’ Society and Home

ที่คริสตจักรแห่งนี้ทุกวันอาทิตย์ตอนเย็นจะมีการแสดงละครและร้องเพลงให้เหล่าอากงอาม่าผู้ยากไร้และไร้บ้านได้มารับความบันเทิงร่วมกันก่อนที่จะรับประทานอาหารเย็นและรับของบริจาคกลับไป พวกเรามาถึงคุณตาคุณยายก็กำลังฟังเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่พาพวกเราเข้าไปในห้องทำงานเล็กๆ นั่งบ้างยืนบ้าง ตามอัธยาศัย นอกจากพวกเราจาก SCI ก็ยังมีอาสาสมัครจากที่อื่นๆมาช่วยกันทำงานนี้ด้วย เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราว่า อยากให้พวกเราช่วยกันเล่นละครให้คุณตาคุณยายดูในอีก 10 นาทีข้างหน้านี้ โดยจะมีบทให้ และเขาก็ถามหาว่า “มีใครพูดภาษากวางตุ้งได้บ้างไหม”  
“ฉันพูดได้ค่ะ” 
“ผมพูดได้ครับ” 
อาสาสมัครชาวฮ่องกงจากที่อื่นรับอาสา บ้างก็แค่ยกมือแสดงตัว แต่ตัวละครก็ยังไม่ครบอยู่ดี เจ้าหน้าที่กวาดสายตามาหยุดตรงหน้าฉัน และถามว่า 
“คุณพูดกวางตุ้งไม่ได้หรอ...”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันส่ายหัว ยิ้มแหยๆ” แล้วเสริมต่อว่า “ฉันเป็นคนไทยค่ะ”
“อ๋ออออ โอเค ไม่เป็นไรครับ...หน้าคุณเหมือนคนจีนมากเลย” เขาบอกกับฉัน
ค่ะ ทุกคนก็พูดแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่ฉันเหยียบฮ่องกงแล้วล่ะค่ะ (ฉันคิดในใจ) เมื่อฉันไม่สามารถพูดกวางตุ้งได้ โดโรธีเลยรับอาสาบทละครอีก 1 ตัวที่เหลือนั้นเอง

ระหว่างที่นักแสดงไปซ้อมละครที่กำลังจะเล่นในอีก 10นาทีข้างหน้า อาสาสมัครที่เหลือก็ไปจัดเตรียมอาหารที่จะนำไปเสิร์ฟให้กับคุณตาคุณยาย ฉันได้มาอยู่ประจำหม้อหุงข้าวขนาดยักษ์กับอาสาสมัครอีกคนหนึ่ง เรากำลังช่วยกันตักข้าวใส่ถ้วยใบเล็กๆและทำความรู้จักกัน เขาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนมาจากไต้หวัน ฉันชวนเขาคุยถึงประเทศไต้หวันของเขา และให้เขาช่วยแนะนำที่เที่ยวของประเทศตัวเองให้ฟัง หลังจากนั้นเขาก็ถามฉันถึงประเทศไทยของฉันบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าแค่การตักข้าวอยู่ไม่กี่นาทีจะทำให้เราคุยกันได้ถูกคอเหมือนรู้จักกันมาซักสามวันแล้ว...เป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่ได้จากงานนี้ หลังจากนั้นละครที่เพื่อนของเราแสดงก็เริ่มต้นขึ้น แน่นอนฉันฟังภาษากวางตุ้งไม่ออก แต่ก็จะมีบิลลี่ และเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรคอยเป็นล่ามแปลให้ฟังเป็นพักๆ

ละครจบลง การเสิร์ฟอาหารก็เริ่มขึ้น เก้าอี้ที่คุณตาคุณยายนั่งดูละครกันในตอนแรกถูกเคลื่อนย้ายไปจัดเรียงวางใหม่รอบโต๊ะกลมที่เพิ่งเคลื่อนตัวเข้ามาในห้อง คุณตาคุณยายนั่งประจำที่ อาสาสมัครทุกคนช่วยกันยกข้าวและอาหารไปแจกตามโต๊ะ คอยดูว่าโต๊ะไหนที่น้ำแกงหรือกับข้าวหมดก็จะคอยตักเสิร์ฟใหม่เรื่อยๆ เรียกหรูๆหน่อยวันนี้เราก็คือบริกรอาสานั่นเองค่ะ คุณตาคุณยายหน้าตาอิ่มเอิบ กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย

ก่อนอาหารค่ำของเหล่าคุณตาคุณยายจบลง พวกเราอาสาสมัครมีหน้าที่ใหม่กันอีกแล้ว นั่นคือการแพ็คถุงยังชีพเพื่อแจกให้พวกท่านก่อนกลับบ้าน พวกเราช่วยกันยกกล่องข้าวสารอาหารแห้ง น้ำเปล่า ผลไม้ออกมาวางด้านนอกอาคาร ชะนีไทยร่างเล็กอย่างฉันก็ช่วยยกอย่างแข็งขันเยี่ยงบุรุษเพศ เราจัดแจงแพ็คของต่างๆใส่ถุงเรียงไว้หน้าประตูทางออก เพื่อเวลาที่คุณตาคุณยายเดินออกมาจะได้รับของจากมือเรากลับบ้านได้เลย เมื่อถึงเวลาที่คุณตาคุณยายเดินออกมา ฉันส่งถุงยังชีพด้วยมือสองข้างเพื่อแสดงความเคารพ คุณตาคุณยายกล่าว โต๊แจ โต๊แจ” 
วันนี้ฉันได้ศัพท์ใหม่แล้วค่ะ “โต๊แจ” แปลว่าขอบคุณ





เสร็จสิ้นภารกิจ เราเดินทางกลับออฟฟิศ SCI เพื่อประชุมประจำวัน แชร์ความรู้สึก และวางแผนสำหรับวันรุ่งขึ้น สำหรับความรู้สึกวันนี้ มันเป็นความรู้สึกสุขใจแบบอิ่มๆ ไม่ได้อิ่มเพราะกินเองนะคะ แต่อิ่มเพราะเห็นคนชราท่านกินอาหารอย่างมีความสุข ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เราทำซึ่งไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่มันกลับทำให้เรามีความสุขได้ขนาดนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค

เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี