เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:2:.English please ?!?!
เราทักทายกันได้เล็กน้อย ฉันก็ขอตัวไปซื้อซิมโทรกลับไทย
เอาไว้โทรหาแม่กับเก่ง ป่านนี้ สองคนนั้นคงเป็นห่วงฉันแย่แล้ว ซาร่าให้เจ็สซี่พาฉันไปที่ร้าน 1010
เพื่อซื้อซิมโทรกลับไทย ฉันเลือกซิมที่ถูกที่สุด อิอิ
แต่ก็มั่นใจได้ว่าสามารถโทรกลับบ้านได้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ได้แน่
เมื่อฉันเข้าไปถึงในร้าน ด้วยความที่หน้าตาของฉันเหมือนคนท้องถิ่นซะเหลือเกิน
พนักงานเดินเข้ามาหาฉันพร้อมพูดต้อนรับด้วยภาษากวางตุ้ง!?!!
ฉันรีบพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “ขอซื้อซิมที่สามารถโทรกลับไทยได้หน่อยค่ะ” พนักงานจึงพูดภาษาอังกฤษกับฉัน
จนในที่สุดฉันก็ได้ซิมมาหนึ่งอัน
ฉันซื้อซิมเสร็จแล้วก็โทรกลับบ้านในทันที ทุกคนหายห่วง
และฉันก็มานั่งห่วงตัวเองต่อว่าชีวิตต่อจากนี้สองสัปดาห์จะเป็นยังไง เราทั้ง 4 พูดคุยกันเรื่องจิปาถะระหว่างที่ยืนรอเพื่อนอาสาสมัครอีก
1 คนที่เดินทางมาจากเม็กซิโก ทั้งเรื่องที่ว่าฉันอายุเท่าไหร่
ฉันหน้าเด็กจัง และเราก็เล่นทายอายุกัน เรื่องที่ว่าคนจีนนับอายุของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
เรื่องการเดินทางคนเดียวครั้งแรกของฉัน เรื่องอาหารบนเครื่องบิน
สักพักฉันก็เมื่อยเจ็สซี่กับฉันเลยไปหาที่นั่งในร้าน
McDonald 2 คน เราคุยกันเยอะแยะมากมาย
ทั้งเรื่องภาษาจีนที่ฉันพอรู้บ้างนิดหน่อย เรื่องภาษากวางตุ้ง
และฉันก็งัดเอาหนังสือ Survival Hong Kong ขึ้นมาอ่านให้เจ็สซี่ฟัง
เจ็สซี่บอกฉันว่า สำเนียงกวางตุ้งของฉันเป๊ะเว่ออออร์ ฮ่าๆๆ อาจเป็นเพราะฉันหน้าจีนเลยพูดจีนชัด
(เกี่ยวมั้ย??) เรายังคุยกันถึงเรื่องประเทศไทยที่เจ็สซี่เคยมาเที่ยวเกาะพีพี เจ็สซี่กำลังจะเดินทางไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่อเมริกา
เธอกำลังคิดตัดสินใจเลือกหอพัก และเจ็สซี่ให้ฉันช่วยช่วยเลือกหอพักของเธอด้วย
อื้มมม นี่เองที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเจ็สซี่เป็นคนน่ารัก น่าคบ
และทำให้ฉันสนิทใจ เหมือนได้เพื่อนไว้เกาะแล้ว ฮ้าๆๆ เพราะฉันคิดว่า
การที่เราพึ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงแต่เธอให้ฉันช่วยเลือกในเรื่องสำคัญของเธอด้วยเนี่ย
มันทำให้รู้สึกดีมากๆเลย แล้วฉันก็เขียนชื่อของเจ็สซี่เป็นภาษาไทยให้เธอไป จากนั้น
ซาช่าก็มาเรียกเราให้เดินไปตรงจุดนัดหมายที่หน้าร้าน
เพื่อที่ซาร่าจะบอกกับฉันว่าให้ฉันกลับไปพักผ่อนที่โฮสเทลก่อน
เพราะเพื่อนเม็กซิกันยังมาไม่ถึงเลย และคนที่จะไปโฮสเทลกับฉันก็คือเจ็สซี่นั่นเอง
เราจะไปโฮสเทลที่ฉันจองไว้ด้วยรถบัสกัน (ฉันมาถึงก่อนวันเริ่มค่าย 1 คืน
เลยต้องหาที่นอนเองในคืนแรกนี้)
ก่อนจะขึ้นรถบัส หรือรถอะไรก็ตามที่เป็นการคมนาคมของฮ่องกง
ฉันควรมีบัตร Octopus
ก่อน เจ็สซี่พาฉันไปที่จุดบริการลูกค้าเพื่อซื้อบัตร Octopus
ฉันบอกกับพนักงาน “ขอบัตร Octopus ใบนึงค่ะ” เป็นภาษาอังกฤษ
คุณพี่พนักงานชายในชุดฟอร์มก็หยิบบัตร Octopusขึ้นมา 1 ใบ รูดปรื๊ดปร๊าดกับเครื่อง และรัวภาษากวางตุ้งใส่อิฉันด้วยความเร็วสูง
คงจะกำลังอธิบายเงื่อนไข ราคาและวิธีใช้บัตรให้ฉันฟังอยู่ จนฉันแทบจะเบรกไม่ทัน “Sorry” ฉันเบรกฮีไว้ได้ ก่อนที่เจ็สซี่จะพูดกับฮีเป็นภาษากวางตุ้ง
คงจะประมาณว่า “นางฟังกวางตุ้งไม่ออกหรอก ช่วยพูดเป็นภาษาปะกิดใหม่ได้ป่ะ”
เพราะหลังจากนั้น ฮีพนักงานขายบัตร Octopus ก็หันมาพูดเป็นภาษาปะกิดกับฉันว่า
บัตรราคาเท่าไหร่ มีเงินมัดจำเท่าไหร่ มีเงินในบัตรเท่าไหร่
และถ้าเอามาคืนจะได้เงินคืนเท่าไหร่ และบัตรนี้อยู่ได้นานไหร่
โอเค ฉันจ่ายเงิน ได้บัตร Octopus มาครอบครองได้สำเร็จ
วะฮ่าฮ่า ฉันรู้สึกเหมือนนกน้อยที่มีอิสระ จะบินไปไหนก็ได้ในฮ่องกง....ด้วยรถไฟใต้ดิน!??!!
เราออกเดินสู่ประตูทางออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถบัส
เฮ้อออ หน้าตาเหมือนคนท้องถิ่น แต่ฟังคนท้องถิ่นพูดไม่รู้เรื่องเนี่ย อาจจะอยู่ยากซะแล้ว เจินลี่ศรีดอกบวบเอ๋ย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น