เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:3:.โดนด่าเป็นภาษากวางตุ้งครั้งแรก

ฉันยืนอยู่ที่ชานชาลาสุดท้ายของลานจอดรถบัสแห่งสนามบินฮ่องกงซึ่งร้างผู้คน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆสองทุ่มแล้ว ฉันเข็นรถใส่เป้แบ็คแพ็คหนักอึ้งกับน้องมะม่วงของฉันเดินมายืนรอรถสายหนึ่ง จากสนามบินไปยังโฮสเทลของฉันที่อยู่ในย่านคอสเวย์เบย์   ตามแผนที่ที่ทางโฮสเทลบอกไว้ในอีเมลล์ หากมาด้วยรถบัสให้ลงที่ป้ายรถเมล์ Wan Chai Fire Station (Hennessy Road)  ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะรู้ได้ยังไงว่าอีป้าย Wan Chai Fire Station (Hennessy Road) มันต้องกดกริ่งตอนไหน  แต่ดีที่ฉันมีเจ็สซี่มาด้วย

ที่สนามบินมีแผนผังของรถบัสจากสนามบินไปทุกๆที่ในฮ่องกง มีตารางบอกสายรถบัส ถนน ย่าน สถานที่ ที่รถสายนั้นๆผ่าน รวมถึงราคาอย่างละเอียด ไม่ยากเลยที่จะหารถไป Wan Chai Fire Station (Hennessy Road)ได้ (ซึ่งตอนนี้ฉันก็ลืมไปแล้วว่ามันคือสายอะไร) ซึ่งรถสายนั้นต้องไปรอที่ชานชาลาปลายสุดของลานจอดรถ

ไม่มีผู้ร่วมรอรถบัสสายนี้ที่ชานชาลาสุดท้ายแห่งนี้เลย เงียบเหงาจริงๆ ฉันนั่งบนรถเข็นกระเป๋า คุยกับเจ็สซี่ไปเรื่อยๆ รออยู่ประมาณ 15 นาที ก็มีรถบัสคันหนึ่งที่ขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งมาและเบรคเอี๊ยดเข้าที่ชานชาลาที่ยืนรออยู่ โอ้วแม่เจ้า ดูดีมีสไตล์จังเลยค่ะ เป็นรถบัสปรับอากาศสองชั้น ตรงด้านข้างของคนขับมีตู้เล็กๆให้แตะบัตร Octopus ที่ฉันเพิ่งได้มาครอบครอง ฉันแตะบัตรเสร็จเรียบร้อย เจ็สซี่ก็พาฉันไปวางกระเป๋าที่ชั้นวางกระเป๋าตรงใต้บันไดทางขึ้นชั้นสอง โอ้โห!!! ฮีโซมากๆ มีที่วางกระเป๋าด้วยเอ่าะ ฉันวางกระเป๋าเรียบร้อย เจ็สซี่พาชั้นไปนั่งที่หนึ่งที่ชั้นล่างของรถ


ฉันเห็นป้ายไฟอักษรวิ่งที่อยู่ด้านหน้ารถบัส หันหน้าเข้าสู่ที่นั่งผู้โดยสาร เป็นอักษรวิ่งที่บอกว่าป้ายรถเมล์ที่กำลังจะถึงเป็นป้ายอะไร เห็นอย่างนั้นฉันก็โล่งใจ และคิดว่า ตอนนี้ถึงแม้ไม่มีเจ็สซี่ ฉันก็อาจจะไม่ลงผิดป้ายแน่นอนเพราะมีป้ายบอกตลอดทางอยู่แล้ว เย่ๆๆ

เจ็สซี่บอกให้ฉันหลับไปก่อนได้ เพราะอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง แต่ฉันบอกว่า ไม่ดีกว่า ฉันอยากดูวิว เธอเลยบอกกลับมาว่า วิวตรงนี้ไม่มีอะไรเลย เราจะวนไปวนมาในสนามบินนี้นานมากกว่าจะพ้นเขตออกไป เพราะสนามบินที่นี่มันกว้างมากจริงๆ    โอเค ฉันพยักหน้ารับรู้ แต่ถึงยังไงความตื่นเต้นมันก็มีมากจนทำให้ฉันหลับไม่ลงอยู่ดี ฉันอยากเห็นทุกๆอย่างที่ฉันจะได้ผ่าน และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันหลับไม่ลงเลยนั่นก็คือ รถบัสของฉันพุ่งเร็ว พุ่งแรง ฉันคิดว่าฉันกำลังอยู่บนรถเมล์สาย 8 ของไทย หรือใน Fast & Furious ยังไงอย่างงั้น คนขับคลุ้มคลั่งถึงขีดสุด ด้วยการเลี้ยวรถอย่างเร็วแบบไม่มีการบอกล่วงหน้า ตัวฉันเหวี่ยงไปมา นี่กูอยู่ดิสนีย์แลนด์รึเปล่า?? หรือนี่เป็นบริการสวนสนุกในรถบัส ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่การขับเร็วและแรงของคนขับรถบัสในฮ่องกง ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกถึงอันตรายในชีวิตมากเท่าไหร่ เพราะเขาก็ขับตามวิถีทางของเขา ไม่ได้ปาด ไม่ได้แซง ถึงแม้จะเร็วและเหวี่ยงหนัก แต่ก็ดูปลอดภัยและมั่นคงอยู่

ระหว่างทางฉันนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ทำตัวเหมือนนางเอกเอ็มวีเพลงรัก อกหัก รักคุด พลางคิดถึงสิ่งต่างๆที่พาเอาตัวฉันมานั่งอยู่ในรถเมล์สาย 8 ที่เกาะฮ่องกง  และคุยกับเจ็สซี่บ้างประปราย ฉันไม่รู้จะคุยอะไรดี เลยขุดเอารูปที่เก็บไว้ในโทรศัพท์ขึ้นมาให้เจ็สซี่ดูและคุยเรื่องรูปนั้นๆ  คุยๆ หยุดๆ เพราะเธอง่วนอยู่กับแอปแชทในโทรศัพท์ของเธอ 

เรานั่งรถกันมาเกือบชั่วโมงได้ อยู่ดีๆเจ็สซี่ก็ร้องออกมาว่า โอ้ววซาร่า!! และซาช่ายังคงรอเพื่อนชาวเม็กซิกันอยู่ที่สนามบิน และไม่มีทีท่าว่าเพื่อนเม็กซิกันคนนั้นจะมาถึงเลย  บางทีสองคนนั้นอาจต้องรอเพื่อนเม็กซิกันต่อจนถึงเที่ยงคืน หน้าเจ็สซี่ดูกลุ้มใจและง่วนกับโทรศัพไม่ได้มองป้ายไฟที่วิ่งอยู่ด้านหน้ารถเลยว่าตอนนี้ถึงป้ายอะไรแล้ว หลังจากนั้นแปปนึง เจ็สซี่รับโทรศัพท์ คุยเป็นภาษากวางตุ้ง หน้าตาดูซีเรียสอีกแล้ว  ส่วนฉันก็มองไปที่ป้ายไฟเป็นระยะๆ จนเห็นมันขึ้นว่าป้าย Wan Chai ด้วยสัญชาตญาณของฉันมันบอกว่า คงใกล้จะถึงแล้ว อีกไม่ไกลน่าจะถึง บางทีอาจเป็นป้ายต่อไป แต่ฉันก็ไม่แน่ใจ ให้เจ็สซี่พาลงดีกว่า   

จนฉันเห็นป้ายไฟเปลี่ยนเป็นคำว่า Wan Chai Fire Station (Hennessy Road) จริงๆแล้วฉันควรเดินไปหยิบกระเป๋าและเตรียมตัวลง แต่เจ็สซี่ยังคงนั่งนิ่ง คุยโทรศัพท์อย่างซีเรียสอยู่ ฉันเชื่อใจเจ็สซี่ ฉันเลยไม่ลุก จนรถบัสจอดลงที่ป้าย Wan Chai Fire Station (Hennessy Road) และเปิดประตูออก เหมือนเจ็สซี่จะเพิ่งได้สติว่าถึงแล้ว เธอรีบลุกพรวดวิ่งออกไปและกระโดดลงจากประตูรถโดยที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่และไม่ได้รอฉันซึ่งกำลังช๊อค ฉิบเป๋งแล้ว!!!  ฉันรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่ชั้นวางของ  และวิ่งพะรุงพะรังไปที่ประตู.............ม่ายยยยยยยยยย

ประตูปิดลงและคนขับรถกำลังจะออกรถแล้ว ฉันยังคงติดอยู่บนรถ เจ็สซี่ลงไปอยู่บนฟุตบาท ฉันมองเจ็สซี่ตาปริปๆ ทำไมเธอทำกับฉันแบบ นนนนนนนนี้ ฉันหันไปมองคนขับรถบัสด้วยสายตาอ้อนวอนว่าขอลงหน่อยนะคะ คนขับรถบัสหันมามองฉันด้วยสีหน้าโมโหปนหงุดหงิด พร้อมทั้งรัววววๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆภาษากวางตุ้งเป็นชุด ยาวมากๆจนฟังไม่ออก (ถึงพูดช้าก็ฟังไม่ออกอยู่ดี) แต่ถึงฟังไม่ออกยังไง แต่ด้วยเซ้นส์ของฉันแล้วก็พอเดาได้ว่า กูโดนด่าล้วนๆเลย หนูขอโทษค่ะ แต่ด่ามาหนูก็ฟังไม่ออกอยู่ดี ได้โปรดปล่อยหนูลงไปเถอะนะคะ หนูไม่ใช่คนท้องที่ หนูเพิ่งมาเหยียบที่นี่ครั้งแรกในชีวิต ถึงหน้าตาหนูจะเหมือนคนฮ่องกง แต่หนูฟังคนฮ่องกงไม่ออกจริงๆค่ะ ฮือออๆๆๆ ด่าจนสะใจคนขับ ลุงท่านก็ยอมเปิดประตูให้ฉันลงมาแต่โดยดี และขับปรื๊ดปร๊าดออกไปอย่างรวดเร็ว

ณ วินาทีนั้นเองที่ฉันคิดได้ว่า ป้ายไฟไม่ได้ช่วยให้ฉันลงถูกป้าย หรือไม่บางที มีคนพามาก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันลงไม่ผิดป้าย...เอาเถอะ

เจ็สซี่...ยังคงคุยโทรศัพท์ตอนที่ฉันหลุดมาจากรถบัสได้ พอเธอวางสาย ฉันก็ไม่ได้บอกว่าเมื่อกี้หล่อนทำอะไรไว้กับฉัน หล่อนทำให้ฉันโดนคนขับด่าเป็นภาษาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยนะ เจ็บใจนัก แต่ช่างมันเถอะ ฉันปล่อยผ่านไป เพราะเมื่อเธอวางโทรศัพท์ปุ๊บ ก็หันมาถามชั้นว่า โฮสเทลนั้นอยู่บนตึกเลขที่เท่าไหร่นะ? หึหึ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเจ็สซี่!! แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตต้องเดินต่อไป จะมามัวเสียใจที่โดนด่าเป็นภาษากวางตุ้งไม่ได้ คืนนี้การหาที่นอนให้เจอสำคัญกว่า เพราะฉันเหนื่อยมากแล้ว ฉันเอาใบวิธีเดินทางที่ปริ๊นท์มาจากอีเมลล์ที่ติดต่อกับโฮสเทลขึ้นมาให้เจ็สซี่ดู และเจ็สซี่ก็หาโฮสเทลให้ฉันเจอในที่สุด
รถเร็วจนภาพสั่นไหวเลยล่ะค่ะท่านผู้ชม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค

เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี