เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:1:.First meeting แรกเราพบกัน ฉันกับฮ่องกง

ฉันนั่งอยู่บนรถสองแถวคันหนึ่ง หัวสั่นหัวคลอนไปตามถนนลูกรังสีแดงฝุ่นคละคลุ้ง สองข้างทางเป็นหุบเขาสลับซับซ้อนสูงใหญ่  ที่นี่เชียงราย ฉันมาเป็นครูอาสาบนดอยสูงที่นี่ และกำลังเดินทางกลับบ้าน ในเมืองหลวงอันแสนครึกครื้น กรุงเทพเมืองฟ้าอมร แดนดัดจริต รถติดถึงชาติหน้า ระหว่างที่หัวกำลังสั่นไหวไปตามแรงเหวี่ยงของรถอยู่นั้น ก็พลันเกิดความคิดแปลกๆขึ้นมา....ถึงเวลาที่เราจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมแล้วรึยัง

ในปี 2557 ที่ผ่านมา ฉันเดินทางไปเป็นครูอาสาบนดอยสูงมา 4 ครั้ง ครูอาสาในโครงการครูบ้านนอกของมูลนิธิกระจกเงา อยู่กับเด็กน้อย เด็กดอยใจดี 

อยู่ดีๆ ฉันก็เกิดความคิดนึงว่า ฉันอยากออกไปนอกโลกบ้าง เอ้ย !!  ฉันอยากออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง ฉันนึกถึงอาสาสมัครต่างชาติที่มาอยู่ในมูลนิธิกระจกเงา อืม...ฉันคิดว่า การเป็นอาสาสมัครต่างประเทศ อาจจะเป็นสิ่งที่ฉันกำลังตามหาอยู่

ฉันนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใน คอก หรือจะเรียกให้หรูก็คือ พาร์ทิชั่น ในออฟฟิศแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิท วันนั้นเป็นวันที่ค่อนข้างว่างงาน ฉันมีเวลาว่างพอจะเกิดไอเดียบรรเจิด

เมื่อมีไอเดียบรรเจิดเกิดขึ้น ฉันก็ไม่รอช้า ค้น google คำว่า อาสาสมัครต่างประเทศ จนได้มาเจอกับค่ายอาสาสมัครนานาชาติ  Human Library and Capacity building work camp ขององค์กรอาสาสมัครแห่งหนึ่ง นามว่า Service Civil International หรือ SCI Hong Kong นั่นเอง ค่ายนี้เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน  และเป็นค่ายระยะสั้น  โอ้วพระเจ้า นี่มันใช่ !!! ค่ายนี้ตรงกับความสนใจของฉัน ที่อยากจะเห็นว่าประเทศอื่นๆเค้ามีวิธีจัดการเรียนรู้ให้เด็กในประเทศของเขาอย่างไรบ้าง เผื่อจะเอามาปรับใช้กับนักเรียนของฉันในโครงการ Teach for Thailand ที่ฉันกำลังจะเข้าโครงการกลางเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

สุดท้าย ไม่รู้เป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิต  หรืออาจจะเป็น เจินลิขิตเนี่ยแหละ ที่ทำให้ฉันตกลงใจส่งใบสมัครไปเป็นอาสาสมัครในค่ายนี้ โดยที่ฉันไม่ได้บอกใครเลย ทั้งครอบครัวและคนสนิท จนฉันได้รับจดหมายตอบรับกลับมาจากทางฮ่องกง  หลังจากนั้นค่อยบอกแม่ว่า “หนูจะไปเป็นอาสาสมัครต่างประเทศนะ” นี่ไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็นการแจ้งให้ทราบเฉยๆ ลูกหัวดื้ออย่างฉันชอบออกเดินทางคนเดียวให้แม่เป็นห่วงอยู่เรื่อย แต่ครั้งนี้เป็นอีกก้าวที่ไกลกว่าเดิม แม่เป็นห่วงฉันมากเหมือนทุกครั้ง แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ฉันอยากจะทำ และนั่นก็ทำให้ฉัน ได้มารู้จักกับเพื่อนอาสาสมัครหลากหลายเชื้อชาติที่ดินแดนแห่งเกาะฮ่องกง

ฉันออกเดินทางมากับสายการบินเอมิเรตส์ บินเดี่ยวสู่เกาะฮ่องกงแดนติ่มซำ เมืองแห่งตึกสูง เมืองที่ไม่มีวันหลับไหล และไม่ลืมที่จะพาน้องมะม่วง อูคุเลเล่ของฉันมาด้วย  นี่เป็นการเดินทางออกนอกประเทศไทยเพียงลำพังครั้งแรกในชีวิตของฉัน ก่อนเดินทางฉันมีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้น  ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ ทั้งกลัว เพราะไม่รู้ว่าจะไปเจอกับอะไรบ้าง และจะไปเจอกับใครบ้าง ฉันจะเอาตัวรอดได้ไหม ฉันจะมีชีวิตเป็นยังไง ฉันจะป่วยมั้ย ฉันจะพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องรึเปล่า สารพัดที่จะคิด ฉันเตรียมหนังสือ Survivor Hong Kong ไปด้วย เพื่อการเอาชีวิตรอดเผื่อหลงทาง หรือพูดกับใครไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆๆ และในที่สุด วันเดินทางก็มาถึง

ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงเกาะฮ่องกง  เครื่องบินค่อยๆร่อนลงจอดที่สนามบินฮ่องกง รอบข้างที่ฉันเห็นเป็นทะเลเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ฉันมาเหยียบดินแดนที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้แล้ว อยู่ดีๆก็พาตัวเองมาเดินในแผ่นดินไหนก็ไม่รู้ จะเอาตัวรอดได้ไหมนะ 

ฉันผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า และหาจุดนัดหมายที่เจ้าหน้าที่ของ SCI บอกไว้ตามอีเมลล์ หน้าร้าน McDonald’s  ในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ในที่สุดฉันก็เจอร้าน McDonald’s และป้ายของ SCI ขนาดใหญ่กับกลุ่มคน 3 คนที่ยืนอยู่ข้างป้ายนั้น  ผู้หญิงชาวตะวันตกรูปร่างอวบ ผมสีเข้ม ผู้หญิงเอเชียซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นจีนตัวเล็กๆมีผมหน้าม้าและมัดหางม้าไว้ด้านหลัง และผู้ชายชาวตะวันตกตัวสูงใส่แว่นตาอีกคนหนึ่ง นั่นคือซาร่าจากเยอรมัน เจ็สซี่จากจีน และซาช่าจากเยอรมันเช่นเดียวกัน หญิงสาวซาร่าคนนี่นี่เอง ที่ฉันพูดคุย ติดต่อกับเธอทางอีเมลล์ตลอดเวลาก่อนเดินทางมาถึงที่นี่ เธอเป็นเจ้าหน้าที่ของ SCI ฮ่องกง 

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเพื่อนๆ ณ เกาะฮ่องกงแห่งนี้ โดยที่ฉันก็ไม่รู้มาก่อนว่า หลังจากวันนั้น 1 ใน 3 คนนี้ จะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของฉันจนถึงวันนี้   

 








ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สองพี่น้องตะลุยบางกอก Day 2 : เที่ยววังในบางกอก ในตีมวนิดาตามหาคุณประจักษ์

เมื่อฉันไปเป็นอาสาสมัครที่ประเทศฮ่องกง |.:8:.วัดหว่องไท่ซิน กับ(จมูก)สิงโตนำโชค

เที่ยว1วันกับการรถไฟ ขี้มูกดำแค่ไหนเรารู้ดี